
“แถลงการณ์” คณะสำรวจติดตามภาวะการผลิตมันสำปะหลัง ฤดูการผลิตปี 2562/63
คณะสำรวจภาวะการผลิตและการค้ามันสำปะหลัง ได้เดินทางสำรวจติดตามภาวะการผลิตมันสำปะหลังฤดูการผลิต ปี 2562/63
ระหว่างวันที่ 17 - 21 ธันวาคม 2562 ในพื้นที่ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างบางส่วน และระหว่าง
วันที่ 19 - 22 มกราคม 2563 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง
จากการสำรวจพบว่าประเทศไทยประสบภาวะปัญหาภัยแล้งฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่ปลายปี 2561
จนถึงต้น ปี 2562 ทำให้มีผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เพาะปลูกพืชไร่ รวมถึงพื้นที่ที่ปลูกมันสำปะหลัง
ภาวะแห้งแล้งที่ต่อเนื่องเช่นนี้ ส่งผลให้สภาพความชุ่มชื้นในดินลดลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งทำให้การเจริญเติบโตของต้นมัน
สำปะหลังไม่สมบูรณ์ บางพื้นที่ยืนต้นตาย บางพื้นที่เก็บเกี่ยวได้แต่ผลผลิตลดลงเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เกษตรกรขาดแคลน
ท่อนพันธุ์และนำท่อนพันธุ์ที่ไม่สมบูรณ์มาเพาะปลูกต่อเพื่อจะให้ทันเก็บเกี่ยวในฤดูการผลิตปี 2562/2563 จากผลกระทบดังกล่าว
ทำให้ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวช่วงเดือนธันวาคม 2562-เดือนมกราคม 2563 ลดลงถึงร้อยละ 20-30 และมันสำปะหลังที่เกษตรกรปลูก
ในช่วงปลายปี 2562 - ต้นปี 2563 เพื่อเก็บเกี่ยวหลังกลางปี 2563 มีแนวโน้มจะไม่ได้ผลผลิต คณะสำรวจฯ คาดว่าผลผลิตรวมที่
ได้ประเมินไว้ที่ 28.7 ล้านต้น มีโอกาสจะลดลงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากมีพายุฝนในช่วง 2 เดือนข้างหน้า ผลผลิตอาจจะลดลง
ร้อยละ10 - 20 หรืออาจจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นหากฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานานและจะส่งผลถึงฤดูกาลผลิต ปี 2563/64
ประกันรายได้เกษตรกรมันสำปะหลัง งวดที่ 3 ประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563
บ่ายวันนี้ (28 ม.ค.63) เวลา 13:30 น. ที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ นายสมบูรณ์ วัฒนวานิชย์กุล นายกสมาคมฯ, นายภาสกร สุรมูล เลขาธิการ และนายประพันธ์ เขียนนอก ผจก.สมาคมฯ ร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิง โครงการประกันรายได้เกษตรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ครั้งที่ 1/2563 (งวดที่ 3)โดย นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธานที่ประชุม
ที่ประชุมได้พิจารณา กำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิง เพื่อเตรียมจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกร ผู้ปลูกมันสำปะหลัง ประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ดังนี้.-
• ราคาเป้าหมาย 2.50 บ./กก.
• เกณฑ์กลางอ้างอิง 2.23 บ./กก.
• เกษตรกรได้รับชดเชย 0.27 บ./กก.
*ประมาณการงบประมาณที่จะต้องใช้ (19,068 ครัวเรือน x 100 ตัน x 270 บาท/ตัน เท่ากับ 514,836,000 บาท)