Company Logo





พยากรณ์อากาศ

เร่งโซนนิ่งพืชเศรษฐกิจ ปศุสัตว์ ประมง พร้อมสร้างความเข้าใจเกษตรกรในพื้นที่‏

 

 

 

ฉลอง เทพวิทักษ์กิจ

จากการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศเขตความเหมาะสมในการปลูกพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิด ได้แก่ ข้าว อ้อยโรงงาน มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ล่าสุดได้ ประกาศเขตเหมาะสมในการเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น โคเนื้อ โคนม ไก่ไข่ ไก่เนื้อ และสุกร อีกทั้ง กำลังจะมีการประกาศด้านประมงเพิ่มอีก 3 ชนิด คือ กุ้งขาว ปลานิล กุ้งก้ามกาม นอกจากนี้ ในเดือนเมษายนจะประกาศด้านพืชเพิ่ม 2 ชนิด คือ ลำไย และสับปะรด ส่วนในเดือนพฤษภาคม จะประกาศเพิ่มอีก 5 ชนิด ได้แก่ มังคุด ทุเรียน เงาะ มะพร้าว กาแฟ

นายฉลอง เทพวิทักษ์กิจ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การประกาศเขตความเหมะสมหรือโซนนิ่ง นั้น เจตนารมณ์สูงสุดของรัฐบาลคือการปรับความสมดุลระหว่างความต้องการ (อุปสงค์) ให้สมดุลกับปริมาณผลผลิต (อุปทาน) ของผลผลิตพืชชนิดนั้น เพื่อเกษตรกรจะขายสินค้าได้ราคาดีไม่มีผลผลิตส่วนเกิน โดยขณะนี้ได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวผ่านกระทรวงมหาดไทยไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดแล้ว โดยแต่ละ จังหวัดจะต้องจัดทำแผนการผลิตระดับจังหวัดให้สอดคล้องกับเขตความเหมาะสมทั้งด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ ซึ่งแต่ละจังหวัดจะต้องมีคณะกรรมการในการพิจารณาเขตความเหมาะสมที่กระทรวงเกษตรฯ ประกาศ รวมทั้งคิดโครงการขึ้นมา 2 ส่วน คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในเขตที่เหมาะสม และการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตที่ไม่เหมาะสมมาผลิตสินค้าชนิดอื่นที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ในจังหวัดนั้นๆ ทั้งนี้หลังจากทุกจังหวัดทำโครงการเสร็จแล้วข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งกลับมายังกระทรวงเกษตรฯ ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 นี้

นายฉลอง กล่าวอีกว่า การประกาศเขตความเหมาะสมนั้น นอกจากต้องการลดพื้นที่ปลูกพืชที่มีปริมาณมากลง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการตลาดแล้ว ยังต้องการใช้ให้เห็นว่า ถ้าเกษตรกรปลูกพืชในพื้นที่เหมาะสมจะมีผลผลิตที่ดีต้นทุนต่ำ แต่หากปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสมน้อยหรือไม่เหมาะสมจะมีผลผลิตต่ำ และต้นทุนสูง ดังนั้น เราจึงจะมีโครงการและกิจกรรมต่างๆ ในการทำความเข้าใจกับเกษตรกรในเรื่องของการปรับเปลี่ยนอาชีพ เช่น การให้ความรู้ด้านการตลาด การลงทุน ปัจจัยต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดให้เกษตรกร เพื่อจูงใจให้เกิดการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เหมาะสมตามที่กำหนดไว้ รวมทั้งเข้าไปส่งเสริมไปทำปศุสัตว์ หรือประมงแทน นอกจากนี้ หากเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่เหมาะสมอยู่แล้วต้องการลดพื้นที่ปลูก หรือต้องการเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ที่มีรายได้ดีกว่าเดิม เช่น เขตที่เหมาะสมในการปลูกข้าวในพื้นที่ลุ่ม ถ้าต้องการทำประมงที่รายได้ดีกว่า ก็สามารถดำเนินการได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเกษตรกรเอง

ทั้งนี้ เราไม่ได้ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของเกษตรกรในการเลือกปลูกพืชแต่ละชนิด ช่วงแรกอาจจะมีปัญหาบ้าง แต่หลังจากดำเนินการไปได้ระยะหนึ่งแล้วเกษตรกรจะเริ่มเห็นตัวอย่างการปรับเปลี่ยนของเกษตรกรรายอื่น ที่มีรายได้ดีกว่าเดิม เชื่อว่าจะมีเกษตรกรเข้ามาร่วมโครงการกับเรามากขึ้นในอนาคต

"อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการประกาศโซนนิ่งการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และทำประมงออกมา ขอยืนยันว่าเกษตรกรที่อยู่นอกเขต จะยังคงได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนเดิมอย่างที่เคยได้รับ เช่น หากเกษตรกรที่อยู่นอกเขตประกาศประสบภัยพิบัติ ต่างๆ รัฐบาลจะยังคงนอกเขตประกาศก็ยังจำนำข้าวได้เหมือนเดิมเช่นกัน" นายฉลอง กล่าวทิ้งท้าย

หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อังคารที่ 16 เมษายน 2556

 

 

 

สั่งอคส.แจ้งความโรงแป้ง-ลานมัน 16 แห่ง หลังตรวจสอบพบมันหาย 10%


วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์


สั่งอคส.แจ้งความโรงแป้ง-ลานมัน 16 แห่ง หลังตรวจสอบพบมันหาย 10% ขู่ขึ้นแบล็กลิสต์หากพบทุจริตจริง ระบุไม่ขยายเวลารับจำนำเพราะราคาตลาดน่าพอใจ

น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย หลังลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการรับจำนำมันสำปะหลังประจำ ปี2555/56 เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่ามีลานมันและโรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการรวม 16 แห่ง มีปริมาณมันสำปะหลังไม่ครบตามจำนวนรับจำนำที่แจ้งไว้ โดยต่ำกว่าที่แจ้งถึง 10% ซึ่งมีแนวโน้มเกิดการทุจริตขึ้น จึงได้ทำหนังสือไปยังองค์การคลังสินค้า (อคส.) เพื่อให้แจ้งความดำเนินคดีต่อไป และหากผลการสืบสวนสอบสวนพบว่ามีการทุจริตจริงก็จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการรับจำนำอีกหากมีโครงการในครั้งต่อไป

สำหรับการรับจำนำมันสำปะหลังประจำปี 2555/56 นั้น มีโรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 55 ราย ลานมันจำนวน 602 ราย จะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 มีนาคมนี้ ปัจจุบันมีมันสำปะหลังเข้าร่วมโครงการประมาณ 8.57 ล้านตัน เงินที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) จ่ายให้เกษตรกรไปแล้วจำนวน 16.93 ล้านบาท คาดเมื่อสิ้นสุดโครงการจะมีมันเข้าโครงการปริมาณกว่า 10 ล้านตัน

ส่วนกรณีที่ทางเกษตรกรต้องการให้ขยายเวลาการรับจำนำออกไปอีกนั้น คงจะไม่ขยายเวลาอีก เพราะถือว่าขณะนี้ราคามันสำปะหลังในตลาดมีราคาที่ดีกว่าราคาจำนำที่ 2.70 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับเปอร์เซ็นต์แป้งที่ 25% โดยขณะนี้บางพื้นที่เริ่มปิดรับจำนำแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่อีสานตอนบน

“ราคาหัวมันสดในตลาดเวลานี้เฉลี่ยที่ 2.70 บาทต่อกิโลกรัม มันเส้นกิโลกรัมละ 7 บาท และแป้งมันกิโลกรัมละ 12 บาท สาเหตุที่มันราคาดีในขณะนี้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากผลผลิตที่ลดต่ำลง ความต้องการตลาดทั้งในและต่างประเทศสูง โดยเฉพาะจีน ที่ต้องการซื้อมันสำปะหลังจากไทยค่อนข้างมาก เพราะก่อนหน้านี้ได้นำเข้ามันจากกัมพูชาแต่ได้มันที่คุณภาพต่ำ ชิ้นใหญ่ มีสิ่งปลอมปนมาก ทำให้ไม่เป็นที่น่าพอใจจึงหันมาสั่งนำเข้ามันจากไทย และเมื่อสิ้นสุดโครงการคาดว่ากรมการค้าต่างประเทศ (คต.) จะกำหนดแผนการระบายมันสำปะหลังในโครงการอย่างมีระบบ เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป”

ที่มา : หนังสือพิพม์ฐานเศษฐกิจ วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2013

ก.เกษตรฯ เตรียมประกาศโซนนิ่งพืชเกษตรอีก 7 ชนิดภายใน 2 เดือน

         
ยุคล ลิ้มแหลมทอง

 

         นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสัมมนา เรื่อง "การขับเคลื่อนนโยบายการจัดการพื้นที่เกษตรกรรม หรือโซนนิ่ง"ว่า แนวทางในการดำเนินงานเรื่องโซนนิ่งที่กระทรวงเกษตรฯ ได้ออกประกาศกำหนดเขตเหมาะสมสำหรับการผลิตแล้ว 6 ชนิดพืช ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลังยางพาราปาล์มน้ำมัน อ้อยโรงงาน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และการผลิตสินค้าปศุสัตว์ 5 ชนิดได้แก่ โคเนื้อ โคนม สุกร ไก่เนื้อ และไก่ไข่ และภายใน 2 เดือนนี้จะประกาศอีก 7 ชนิดพืช ซึ่งได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวผ่านกระทรวงมหาดไทยไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดแล้ว

        รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงเกษตรฯ ขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโซนนิ่งจังหวัดและมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเป็นฝ่ายเลขานุการ คือ การเข้าไปตรวจสอบข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตรในพื้นที่ส่งกลับมายังกระทรวงเกษตรฯภายในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ประกอบด้วย 

         1. ตรวจสอบพื้นที่ทำการเกษตรที่ได้เป็นประกาศเป็นพื้นที่เหมาะสมสำหรับพืช ปศุสัตว์ และประมง เพื่อทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยใช้ข้อมูลการตลาดเป็นตัวกำหนดปริมาณผลผลิตให้สอดคล้องกัน ทั้งการบริโภคในพื้นที่ การแปรรูป การเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม และการส่งออก ว่าในแต่ละพื้นที่นั้นต้องการการสนับสนุนจากรัฐในด้านใดบ้าง เช่น พันธุ์ แหล่งน้ำ ปุ๋ย ที่ดินทำกิน เทคโนโลยี การคมนาคม หรือทุน เป็นต้น
         2. ตรวจสอบพื้นที่เกษตรกรรมที่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมหรือเหมาะสมน้อย เพื่อพิจารณาแนวทางในการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนอาชีพหรือการทำการเกษตรชนิดอื่นที่มีความเหมาะสมกว่า หรือต้องการให้ภาครัฐให้การสนับสนุนอย่างไร และ 
         3. ตรวจสอบพื้นที่ทำการเกษตรกรรมที่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรือยู่ในพื้นที่ป่าว่ามีอยู่จำนวนเท่าใด และจะจัดการอย่างไร รวมทั้งเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา ทั้งเรื่องที่ดินทำกินและการจัดการผลผลิตการเกษตรจากพื้นที่ดังกล่าวด้วย

         ข้อมูลจากทั้ง 3 พื้นที่ดังกล่าว เมื่อทางจังหวัดได้รายงานเข้ามาแล้ว กระทรวงเกษตรฯ จะรวบรวมเพื่อเสนอรัฐบาลในการกำหนดนโยบายหรือโครงการในการสนับสนุนการพัฒนาการผลิต หรือปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรของประเทศให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ โดยยึดตลาดเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดได้ในระยะยาว

         "การเรียกประชุมตเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ครั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจและทิศทางในการขับเคลื่อนนโยบายโซนนิ่งให้ตรงกัน เนื่องจากการที่จะปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกหรือการทำการเกษตรนั้น คนในพื้นที่ซึ่งใกล้ชิดกับเกษตรกรที่สุดจะต้องเป็นผู้รวบรวมข้อมูลความต้องการจากพื้นที่เสนอต่อรัฐบาลในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการปรับระบบความคิดของเกษตรกรสู่การเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ที่รู้จักคิดเป็น และวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับการตลาดด้วย

         เจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรฯ จะเป็นเครื่องมือสำคัญให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อดำเนินการในเรื่องโซนนิ่งให้เกิดขึ้นให้ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาการจัดการโซนนิ่งไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากเป็นการสั่งการจากส่วนกลางไปในพื้นที่ แต่ไม่ได้รับข้อมูลความต้องการจากพื้นที่มาเป็นนโยบายการปฏิบัติ ซึ่งในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ นายกรัฐมนตรีจะประชุมคอนเฟอร์เรนซ์ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ก็จะเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรฯ ในการร่วมดำเนินการดังกล่าว" นายยุคล กล่าว

ที่มา : ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) จันทร์ที่ 18 มีนาคม 2556

 

นายกฯ เปิดโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม แห่งแรกในไทย ที่โคราช สาวใหญ่ถอดเสื้อประท้วง



เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 12 กุมภาพันธ์ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เปิดโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม เวสต์ ห้วยบง 2 และ เวสต์ห้วยบง 3 ซึ่งบริษัทเค อาร์ทู จำกัด และบริษัท เฟิร์ส โคราช วินด์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินโครงการติดตั้งกังหันลมจำนวน 90 ต้น บนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ในตำบลห้วยบง และตำบลหนองแวง อำเภอด่านขุนทด และอำเภอเทพารักษ์ จังหวัดนครราชสีมา โดยกังหันลม 1 ต้น สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ต้นละ 2.3 เมกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตโครงการละ 103.5 เมกะวัตต์ โดยนำไฟฟ้าที่ผลิตได้เชื่อมต่อกับจุดรับซื้อไฟฟ้าที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี เพื่อส่งต่อให้ประชาชน

หลังจากกล่าวจบนางสาว ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทักทายกับราษฎรในพื้นที่ ที่มาคอยให้การต้อนรับ โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงจ.นครราชสีมา เดินทางมาให้กำลังใจ พร้อมกับเสียงร้องตะโกนว่า "ยิ่งลักษณ์ สู้ๆ" ตลอดทาง ในขณะเดียวกัน ได้มี หญิงสาวผู้หนึ่งนุ่งกางเกงยีนสีกรมท่า สวมเสื้อยืดโปโล สีฟ้าอ่อน ได้ถอดเสื้อออก เหลือแต่เสื้อชั้นในเพื่อเรียกร้องความสนใจ ในมือถือเอกสาร โครงการจำนำมันสำปะหลัง ปากได้ร้องตะโกนว่าว่าต้องการส่งเอกสารการทุจริตโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงนอกเครื่องแบบจำนวน 3 คน ได้ควบคุมตัวออกไปอย่างทุลักทุเล และสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

ทั้งนี้ หญิงคนดังกล่าว ระบุว่า เกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลัง ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากโรงงานแป้งมันสำปะหลังที่เข้าร่วมโครงการ โดยได้ โกงเกษตรกร เช่น หัวมันสด 5 ตัน โรงแป้งมันจะหักดิน/สิ่งเจือปน หรือที่เรียกว่าหักเปอร์เซ็นมันสำปะหลัง ไป 1ตันครึ่ง เหลือ 3ตันครึ่ง ชาวบ้านจะเหลืออะไร เอามันสำปะหลังไปลานมันหรือโรงแป้ง ต้องค้างวันค้างคืน จนเหี่ยวน้ำหนักมันจึงลด

"เกษตรกรมีแต่ตายเพราะถูกโกงทุกวิถีทาง ตนเองชื่นชมโครงการรับจำนำมันสำปะหลังของรัฐบาลดี แต่โรงแป้งมันที่เข้าร่วมกับรัฐบาลมันโกงชาวบ้าน" หญิงสาวคนดังกล่าวระบุ

จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวหญิงที่ถอดเสื้อประท้วงไปสงบสติอารมณ์ที่ สภ.หินดาด โดยมี พล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา และ พ.ต.ท.นิติพงศ์ ติวาชัยวิรัตน์ สวญ.สภ.หินดาด ช่วยกันกล่อม และทราบชื่อภายหลังคือน.ส.พัชริดา กีรตินพดล อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 185 หมู่ 12 ต.หนองกราด อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ซึ่ง น.ส.พัชริดา เคยเดินทางไปร้องเรียนเรื่องดังกล่าว ที่ข้างทำเนียบรัฐบาลมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อวันที่ 25 มกราคม ทที่ผ่านมา ลักษณะ สวมเสื้อชั้นในตัวเดียวเช่นกัน หลังจากน.ส.พัชริดา อารมณ์ดีขึ้น ทางเจ้าหน้าที่จึงให้พนักงานสอบถามเพื่อหาข้อเท็จจริง พร้อมทั้งได้แนะนำให้น.ส.พัชริดา ร้องเรียนตามขั้นตอนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นผู้ว่าราชการจังหวัด หรือพาณิชย์จังหวัดนครราชสีมา ก่อนปล่อยตัวกลับไป

ที่มา : มติชนออนไลน์ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ส่งออกมันสำปะหลังปี’56โตได้.. แต่ก็ยังมีปัจจัยท้าทายที่ต้องคำนึงถึง...




บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์เรื่อง การส่งออกมันสำปะหลัง ของไทยในปี 2556 โดยระบุว่ามูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังของไทย จะขยายตัวร้อยละ14.0-18.0 (YoY) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,200-1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ขยายตัวร้อยละ 11.9 ในปี 2555 โดยประเมินว่า จีนจะยังคงเป็นตลาดส่งออกหลักของมันสำปะหลังไทย(โดยเฉพาะมันเส้น) อย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าไม่ต่ำกว่าในปี 2555 ที่อยู่ที่ 1,074 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 98 ของมูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังทั้งหมดของไทย และไทยสามารถครองมูลค่าส่วนแบ่งตลาดในจีนได้ถึงร้อยละ 68.9 ของมูลค่าการนำเข้ามันสำปะหลังทั้งหมดของจีน

ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกมันสำปะหลังของไทยในปี 2556 ให้ขยายตัวได้ประกอบด้วย 1.ความต้องการใช้มันสำปะหลังของจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชีย ทำให้การส่งออกของจีนปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนโดยผ่านการบริโภคภายในประเทศ ทำให้คาดว่าในปี 2556 จะมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งผลต่อความต้องการนำเข้ามันสำปะหลังไทยที่เพิ่มขึ้น

และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานทดแทนของจีน ตามแผนการพัฒนาประจำปี 2554-2559 ของจีน กำหนดให้มันสำปะหลังเป็นสินค้าสำคัญในแผนและเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญอันดับแรก เนื่องด้วยมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลักของการผลิตเอทานอล และผลจากการที่ภาครัฐของจีนประกาศปรับโครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อให้ราคาขายสะท้อนใกล้เคียงกับราคาต้นทุน ทั้งในส่วนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติเหลวสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) และก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี)ทำให้ความต้องการใช้มันสำปะหลังเพื่อนำไปผลิตเอทานอลเป็นพลังงานทดแทนมีมากขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจจีน

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ จีนยังนำมันสำปะหลังไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรม

แป้งและการผลิตบะหมี่โดยเฉพาะที่มณฑลหูเป่ย (นครเทียนจิน) ซึ่งเป็นฐานการผลิตบะหมี่ใหญ่ที่สุดในจีน ทั้งนี้ ยอดการใช้

มันสำปะหลังของมณฑลหูเป่ยราว 8 แสนตันขณะที่นำเข้าจากไทยเพียง 5-6 หมื่นตันต่อปี จึงถือเป็นโอกาสทางการค้ามันสำปะหลังช่องทางใหม่ที่สำคัญของไทย

และนอกจากปัจจัยหนุนจากจีนแล้ว ยังมีปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญ ที่ช่วยหนุนการส่งออกมันสำปะหลังของไทยด้วย เช่น ปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าปริมาณมันสำปะหลังส่งออกมีโอกาสเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 11-15 จาก 4.7 ล้านตันในปี 2555 มาที่ประมาณ 5.2-5.4 ล้านตันในปี 2556 ขณะที่คาดว่า ราคาส่งออกมันสำปะหลังของไทย น่าจะทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับปี 2555 (ที่มีค่าเฉลี่ยราว 240.1 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน สำหรับมันเส้น และราว 436.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สำหรับแป้งมัน) และอาจมีโอกาสปรับขึ้นได้บ้างบางจังหวะ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมการส่งออกมันสำปะหลังของไทยในปี 2556 จะมีแนวโน้มขยายตัวตามการนำเข้าจากจีนเป็นหลัก แต่อุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยยังเผชิญความท้าทายและจำเป็นต้องปรับตัว

ทั้งนี้ผู้ส่งออกไทยควรกระจายตลาดเพื่อลดการพึ่งพิงการส่งออกไปจีน ซึ่งสามารถผลักดันการส่งออกไปยังตลาดที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เช่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น หลังจากที่จีนเริ่มกระจายแหล่งนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยหันไปนำเข้ามันเส้นเพิ่มขึ้นจากเวียดนาม พม่า ลาว กัมพูชา และไนจีเรีย ทำให้ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยอาจต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในระยะต่อไปขณะเดียวกัน นโยบายของประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งในการส่งเสริมอุตสาหกรรมมันสำปะหลังโดยเฉพาะเวียดนาม มีการพัฒนาในเรื่องของคุณภาพด้าน “มันเส้นสะอาด” มากกว่ามันเส้นไทย และกลายเป็นประเด็นสำคัญในช่วง 1-2 ปีนี้ ถึงแม้ว่า ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามยังไม่สามารถผลิตมันเส้นเพียงพอต่อความต้องการใช้ในตลาดจีนได้ นอกจากนี้กัมพูชาก็เป็นประเทศคู่แข่งหน้าใหม่ในตลาดจีนที่น่าจับตามอง

นอกจากนี้ มาตรการการนำเข้าของจีน เป็นสิ่งที่ไทยควรให้ความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากในระยะหลังจีนเริ่มนำมาตรการต่างๆ มาใช้เพื่อปกป้องการผลิตในประเทศ และควบคุมปริมาณการนำเข้า?อาทิ มาตรฐานสิ่งแวดล้อม (ฝุ่น สิ่งปลอมปนการลดโลกร้อน) มาตรฐานสุขอนามัยเป็นต้น ดังนั้น ในระยะต่อไป ภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศควรหาแนวทางร่วมกัน เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตมันสำปะหลังเส้นให้มีคุณภาพดีขนาดชิ้นของมันเส้นใหญ่ขึ้น และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในการส่งออกมันสำปะหลังเส้น เพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นระหว่างการขนถ่ายสินค้า อันจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบท่าเรือ

และที่สำคัญต้องมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่รูปแบบการใช้ประโยชน์จากมันสำปะหลังในปัจจุบันยังเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปเบื้องต้น โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าว เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ยา เคมีภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผลิตพลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ พอลิเมอร์ ที่มีสมบัติดูดซึมของเหลวสำหรับใช้งานด้านอนามัยทางการแพทย์ เป็นต้น อันเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมันสำปะหลังได้ตั้งแต่ “ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ” ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการปรับตัวของเงินบาทที่มีแนวโน้มผันผวนในทิศทางแข็งค่าได้ในระดับหนึ่ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การรักษาคุณภาพด้านความสะอาดของมันเส้นเป็นประเด็นที่ไทยควรให้ความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าหลายประเทศได้ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังเช่นตลาดส่งออกหลักของไทยอย่างจีนที่เริ่มกระจายแหล่งนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ดังนั้นผู้ส่งออกไทยควรกระจายตลาดเพื่อลดการพึ่งพิงการส่งออกไปจีน ซึ่งอาจแสวงหาตลาดใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ขณะที่ “การสร้างมูลค่าเพิ่ม” ให้กับผลผลิตมันสำปะหลังตั้งแต่ “ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ” ถือเป็นกุญแจไขความสำเร็จของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทยที่สำคัญ เพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากมันสำปะหลังในอนาคตที่เพิ่มขึ้น

ที่มา : ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า 
จันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556






Powered by Allweb Technology.