
โครงการจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของประเทศไทย
เนื่องด้วย ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ สวทช.ได้ดำเนินโครงการจัดทำฐานข้อมูลมันสำปะหลังของประเทศไทย โดยการเก็บข้อมูลบัญชีรายการวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Inventory : LCI) ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะต้องครอบคลุม 60% ของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ
ทั้งนี้ คณะผู้ดำเนินงาน ได้ประสานมายัง สมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อช่วยกระจายข้อมูลโครงการและแบบตอบรับแก่บริษัทที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ
สิ่งที่ทางบริษัทฯ จะได้รับจากโครงการ(โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ) คือ
1.บัญชีรายการวัฏจักรชีวิตของทางบริษัท
2.ทางบริษัทสามารถนำข้อมูลที่ได้จากโครงการไปใช้ในการประเมินผลกระทบด้านต่างๆ ต้นทุนการผลิต หรือแม้กระทั้งสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตภายในองค์กรได้
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลของประเทศไทย โดยที่นำข้อมูลที่ได้ไปเฉลี่ย จะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการผลิตของบริษัทแก่บุคคลทั่วไป
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
เภคูน พูลสวัสดิ์
ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านพลังงานเชิงนิเวศเศรษฐกิจ
Excellence Center of Eco-Energy (ECEE)
คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง
จังหวัดปทุมธานี 12120
Tel: 0849324700
ชี้กัมพูชาเร่งขยายพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง
สศก.เผยแนวโน้มกัมพูชาขยายพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังต่อเนื่อง หลังได้เปรียบในด้านต้นทุนและค่าจ้างแรงงานถูก เตรียมรุกฐานการส่งออกไปยังตลาดจีน
อนันต์ ลิลา
นายอนันต์ ลิลา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงผลการศึกษาศักยภาพสินค้าเกษตรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกรณีศึกษา : มันสำปะหลังในราชอาณาจักรกัมพูชาว่า กัมพูชานับเป็นประเทศผู้ผลิตมันสำปะหลังอันดับที่ 13 ของโลกและผลิตมากเป็นอันดับที่ 4 ในอาเซียน รองมาจาก อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม โดยจากข้อมูลองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) พบว่า มันสำปะหลังเป็นสินค้าเกษตรที่กัมพูชาผลิตมากเป็นอันดับที่ 2 รองมาจาก ข้าว ซึ่งกัมพูชาได้ขยายพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการส่งเสริมและพัฒนาการปลูก การปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น โดยมีความได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิตมันสำปะหลังที่ต่ำ เนื่องจากสภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ และเกษตรกรยังเพาะปลูกโดยอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก มีการใช้แรงงานคนมากกว่าใช้เครื่องจักรกล ประกอบกับค่าจ้างแรงงานถูก
สำหรับการผลิตมันสำปะหลังของกัมพูชา มีทั้งการผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ และการส่งออก ผลผลิตส่วนใหญ่แปรรูปเป็นมันเส้น และแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งมันเส้นส่วนใหญ่จะส่งออกมาประเทศไทย ส่วนแป้งมันสำปะหลังจะส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม จึงถือได้ว่าประเทศไทยและประเทศเวียดนามเป็นช่องทางสำคัญในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของกัมพูชา นอกจากนี้ ประเทศกัมพูชายังมีการส่งออกหัวมันสดไปยังประเทศเวียดนาม สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแป้งมันสำปะหลังอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ศักยภาพการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในตลาดโลก พบว่า ทั้งไทยและกัมพูชามีความได้เปรียบ เมื่อเปรียบเทียบในการส่งออกมันเส้นและแป้งมันสำปะหลังไปยังตลาดโลก โดยการวิเคราะห์ตำแหน่งและความสามารถในการแข่งขัน (BCG) โดยการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยนั้น อยู่ในตำแหน่งกลุ่มสินค้าทำเงิน (Cash Cows) และกัมพูชาอยู่ในตำแหน่งกลุ่มสินค้าที่มีปัญหา (Question Marks) และจากการศึกษา ยังพบว่า หน่วยงานภาครัฐและเอกชนของกัมพูชา อยากให้นักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศกัมพูชา เพื่อเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมมันสำปะหลังร่วมกัน
นอกจากนี้ กัมพูชายังมีแผนที่จะขยายการส่งออกมันสำปะหลังไปยังประเทศจีนโดยตรงผ่านท่าเรือที่เมืองสีหนุวิลล์ ซึ่งผู้นำเข้าจีนได้เริ่มเจรจากับผู้ประกอบการกัมพูชาแล้ว เพื่อดำเนินการปรับปรุงโลจิสติกส์ในบริเวณดังกล่าวให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ควรมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่และลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรแปรรูปมันสำปะหลังเพื่อเพิ่มมูลค่า มีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ ตลอดจนมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของตลาดสนับสนุนผู้ประกอบการขยายฐานการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีทรัพยากรและแรงงานถูกเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในการส่งออกสินค้าไปนอกอาเซียน
http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=714098
สถานการณ์ภัยแล้ง เริ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภัยแล้งขณะนี้ ในเขตพื้นที่ บ้านห้วยยางคำ ต.กุดจับ อ.กุดจับ ที่กำลังเริ่มเกิดสถานการณ์ระบาดของตัวไรแดง ที่ลงกันกินไร่มันสำปะหลังในพื้นที่ ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังกำลังได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากไรแดง ได้กัดกินยอดอ่อนและใบอ่อนของต้นมันสำปะหลังเสียหาย
นางทองเพียร ชัยบุรมย์ อายุ 65 ปี เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ในเขต ต.กุดจับ อ.กุดจับ เปิดเผยว่า ตนปลูกมันสำปะหลัง พื้นที่กว่า 30 ไร่ เป็นมันสำปะหลังพันธุ์เกล็ดมังกร ที่ซื้อท่อนพันธุ์มาจาก จ.เลย ท่อนละ 80 บาท และปลูกมาได้นานกว่า 6-7 เดือน ที่ผ่านมาหลังหมดหนาวมีฝนตกลงมาเพียงครั้งเดียว ทำให้มันสำปะหลังไม่ได้เจอน้ำที่นานกว่า 1 เดือน จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนสังเกตเห็นว่า ยอดของต้นมันสำปะหลังที่ตนปลูกไว้เหี่ยวแห้งและใบหงิกงออย่างรวดเร็ว และเริ่มลุกลามไปเรื่อย ถึงขณะนี้เสียหายไปกว่า 4 ไร่แล้ว
ฉันจึงติดต่อไปทางเกษตรอำเภอกุดจับให้เข้ามาดู เพราะว่าไร่มันสำปะหลังของเพื่อนบ้านเริ่มมีอาการเหมือนของเรา เช้าวันนี้เจ้าหน้าที่เกษตรจึงเดินทางมาดู เขาบอกว่ามันสำปะหลังถูกไรแดงมันสำปะหลังกัดกินยอด ซึ่งไรแดงมันจะเกิดการระบาดในสภาพอากาศแห้งแล้ง ทางเจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้ซื้อสารเคมีมาผสมน้ำฉีดกำจัดไรแดง โดยฉีดที่ยอดมันที่เริ่มเหี่ยวและใบหงิกงอ เพื่อเป็นการฆ่าและป้องกันไม่ให้ไรแดงระบาดไปยังที่อื่นอีก?
นางทองเพียร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาไม่เคยเจอไรแดงระบาด มีก็แต่เพลี้ยแป้ง ซึ่งเราเคยเจอมาก่อน ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่เมื่อมาเจอไรแดงระบาด ทำอะไรไม่ถูก จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอเข้ามาดู ซึ่งไม่รู้ว่ามันสำปะหลังตนจะเสียหายอีกเท่าไหร่ เพราะกว่าจะได้เก็บเกี่ยวก็อีกนานกว่า 5 เดือน
นายเสน่ห์ รัตนาภรณ์ เกษตร จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานการระบาดของตัวไรแดงมันสำปะหลัง แต่เบื้องต้นตัวไรแดงมันสำปะหลัง จะระบาดในช่วงที่แห้งแล้ง โดยตัวไรแดงจะดูดกินน้ำเลี้ยงใต้ใบจากส่วนล่างขึ้นมา แต่ยังสามารถที่จะใช้ด้วงเต่าและด้วงปีกสั้นเป็นศัตรูธรรมชาติของไรแดงกำจัด และการใช้สารเคมีประเภทอามีทราช และ ไดโคโฟล ผสมน้ำในอัตราส่วน 40-50 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดที่บริเวณไร่มันสำปะหลังที่กำลังระบาด เมื่อไรแดงตาย สามารถที่จะฟื้นต้นมันสำปะหลังให้เจริญเติบโตจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ไม่เหมือนเพลี้ยแป้งสีชมพูที่ระบาดดูดกินท่อน้ำเลี้ยงที่ลำต้นมันสำปะหลังแล้ว จะไม่สามารถฟื้นต้นมันสำปะหลังขึ้นมาได้
ที่มา : เนชั่นทันข่าว
ป.ป.ช.ชงยกเลิกรับจำนำมันสำปะหลัง
ชี้เอื้อเอกชนมีปมทุจริตทำชาติเสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งหนังสือ เรื่องมาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ โดย ป.ป.ช.ส่งเรื่องมาตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค.57 แต่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี บรรจุเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ให้รับทราบเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมาและไม่ได้แถลงข่าวแต่อย่างใด
สำหรับหนังสือของ ป.ป.ช.ระบุว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนการดำเนินโครงการแทรกแซงราคามันสำปะหลังปีการผลิต 2554/2555 และปีการผลิต 2555/2556 ว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการและมีการรับจำนำในราคาต่ำกว่าราคารับซื้อของผู้ประกอบการ ประกอบกับ ป.ป.ช.ได้มอบให้มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยศึกษาวิจัยเรื่อง มาตรการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังเพื่อป้องกันการทุจริต ซึ่งจากการศึกษาพบว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการดำเนินการยังไม่มีประสิทธิภาพ เกิดปัญหาการทุจริต เป็นการสูญเสียงบประมาณเป็นจำนวนมาก ดังนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาแล้วจึงเห็นสมควรเสนอมาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังต่อ ครม.เพื่อพิจารณาและมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ป.ป.ช.มีข้อเสนอแนะให้ยกเลิกโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ซึ่งสร้างผลตอบแทนให้แก่เกษตรกรในวงจำกัด แต่สร้างผลกำไรให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจำนวนมาก หากรัฐต้องการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทั่วถึงพร้อมกับพึ่งพิงวิธีที่ไม่ฝืนกลไกตลาดในระยะยาว จะต้องนำการประกันความเสี่ยงด้านราคามาใช้ เป็นการประกันราคาขั้นต่ำให้เกษตรกร โดยราคาขั้นต่ำไม่ควรตั้งสูงจนเกินไป แต่ต้องสูงกว่าต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยของเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรสามารถอยู่ได้.
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ดักคอกู้โปะจำนำข้าว ชี้"รบ.-กกต."ตีมึนมีลุ้นโทษอาญา
ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา
"ชูชาติ ศรีแสง" ดักคอ รบ. วอนอ่านรธน.มาตรา 181 ก่อนขอ กกต. อนุมัติกู้ 2.8 แสนล้านบาทกู้หน้าจำนำข้าว ยันไม่เข้ากรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตาม 181 (2) กกต.จึงไม่มีอำนาจอนุมัติ เตือนดึงดันได้สิทธิ์ลุ้นอาญามาตรา 157 ทั้ง รบ. และ กกต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Chuchart Srisaeng ถึงกรณีรัฐบาลรักษาการจะขออนุมัติจากคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ในการกู้เงิน 280,000 ล้านบาทเพื่อเอาไปซื้อข้าวจากชาวนาตามโครงการรับจำนำข้าว ว่า ถ้าเป็นความจริงก็เป็นการใช้เงิน 280,000 ล้านบาท เพื่อซื้อเสียงจากชาวนาทั่วประเทศ
ใคร่ขอให้รัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง อ่านรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 ก่อนที่จะดำเนินการดังกล่าว
รัฐธรรมนูญ มาตรา 181 บัญญัติว่า คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตําแหน่ง ต้องอยู่ในตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่ในกรณีพ้นจากตําแหน่งตามมาตรา 180 (2) คืออายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จําเป็น ภายใต้เงื่อนไขที่กําหนด ดังต่อไปนี้
(1) ฯลฯ
(2) ไม่กระทําการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน
(3) ไม่กระทําการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป
(4) ฯลฯ
การขอกู้เงินไม่ใช่เป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จึงไม่ใช่กรณีที่จะขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามมาตรา 181(2)
แต่เป็นกรณีการกระทำอันมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามมาตรา 181(3) จึงเป็นกรณีที่รัฐบาลไม่สามารถกระทำได้ และคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ไม่มีอำนาจที่ให้อนุมัติให้กระทำได้
ถ้ารัฐบาลขออนุมัติขอกู้เงิน 280,000 บาท ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง แล้วคณะกรรมการการเลือกตั้งอนุมัติให้รัฐบาลกู้เงิน และรัฐบาลไปกู้เงินจำนวนเงินดังกล่าว ทั้งรัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็มีโอกาสที่จะถูกดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ได้
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 ธันวาคม 2556