Company Logo





พยากรณ์อากาศ

ก.พาณิชย์ชง นบข.ระบายมันสำปะหลัง-ข้าวโพด ค้างสต๊อก

หล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารข้าว (นบข.) วันที่ 6 ตุลาคม ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ประเด็นหลักที่กระทรวงพาณิชย์ เตรียมขอมติ คือการยกเลิกมาตรการห้ามขนย้ายข้าวสารและสินค้าเกษตรที่ใช้ในช่วงโครงการรับจำนำ เพราะลดปัญหาการค้าปกติให้คล่องตัวขึ้น และเร่งรัดองค์การคลังสินค้า (อคส.) คืนเงินค้ำประกันข้าวคงค้างให้กับผู้ประกอบการ และขออนุมัติระบายมันสำปะหลังและข้าวโพด ค้างสต๊อก เพื่อลดภาระค่าจัดเก็บและสินค้าเสื่อมสภาพหมดแล้ว

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 5 ตุลาคม 2557

รมว.พาณิชย์ถก4 เจ้าสัวร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล

 

 

วันนี้ (2ต.ค.) เมื่อเวลา15.00น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือผู้ประกอบการ 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด(คุณธนินท์ เจียรวนนท์), บริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน) (คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี) , บริษัท กลุ่มเครือสหพัฒน์ จำกัด (คุณศิรินา ปวโรฬารวิทยา) , บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด (คุณทศ จิราธิวัฒน์) ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมกันนี้มีผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ร่วมหารือด้วย ประกอบด้วย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมช.พาณิชย์ นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานที่ปรึกษา รมช.พาณิชย์ พล.อ.ปัฐมพงศ์ ประถมภัฏ เลขานุการ รมว.พาณิชย์ น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร รักษาการอธิบดีกรมการค้าภายในทั้งนี้การเข้าพบและหารือกันในครั้งนี้เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทั้งเรื่องมาตรการราคาสินค้า การผลิต โอกาสในการส่งออก และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
เพื่อกำหนดนโยบายเชิงรุกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อนหน้านี้ รมว.พาณิชย์เคยมอบนโยบายผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ในการทำงานโดยขอให้ปรับวิธีการทำงานแบบสั่งการเป็นผู้ให้การสนับสนุนภาคเอกชนและประสานการทำงานกันมากขึ้น โดยจะต้องทำงานประสานตั้งแต่ระดับกระทรวงต่อกระทรวง หน่วยงานรัฐบาลด้วยกันเอง และราชการกับภาคเอกชน ซึ่งในการทำงานจะมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมในการกำหนดทิศทางการทำงานร่วมกันมากขึ้น รวมทั้งมีการหารือร่วมกับภาคเอกชนให้ได้เป็นประจำทุกเดือน

ภาพ:พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือผู้ประกอบการ 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด(คุณธนินท์ เจียรวนนท์), บริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน) (คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี) , บริษัท กลุ่มเครือสหพัฒน์ จำกัด (คุณศิรินา ปวโรฬารวิทยา) , บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด (คุณทศ จิราธิวัฒน์) ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2557

ที่มา : ข่าวฐานเศรษฐกิจ วันที่ 2 ตุลาคม 2557

ปีติพงศ์ เร่งแผนปรับพื้นที่เพาะปลูก วางโมเดลเกษตรอยู่อย่างยั่งยืน

ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา
 
นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหดรณ์ กล่าวว่าความคืบหน้าการปรับโครงสร้างการเกษตร ที่จะมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกหรือโซนนิ่งนั้น ล่าสุดตนได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร ไปจัดทำยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้าเกษตร ให้มีความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยแผนจะต้องให้เสร็จสิ้นให้เร็วที่สุด เพื่อนำมาใช้ในการวางกรอบการการเพาะปลูกพืชเกษตรในฤดูกาลที่จะถึงนี้ โดยเฉพาะข้าวและยางพารา รวมทั้งพืชเศรษฐกิจอีก 4 ชนิดด้วย เช่นอ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง และปาล์ม โดยตนมีแนวคิดว่า 1.ในเกษตรกรกลุ่มแรกอยากปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับพื้นที่ เช่นพื้นที่ที่ปลูกทำข้าว ยาง อยากเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น ทางกรมจะเข้าไปสนับสนุนและแนะนำพืชและเทคโนโลยีที่เหาะสมให้กับเกษตรกร 2.หากเกษตรกรมีความต้องการผลิตสินค้าเกษตรตัวเดิมและในพื้นที่เหมาะสมอยู่แล้ว ทางกรมจะให้องค์ความรู้และมีการเข้าพัฒนาการเพาะปลูกเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น และมีการตรวจสอบรับรองมาตราฐานสินค้าปรับคุณภาพสินค้าหรือปรับเปลียนเกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรกรรมปาณีต 3แนะนำปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกในแนวเศรษฐกิจพอเพียงแทนปลูกพืชเชิงเดี่ยวตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
 
รมว.เกษตรฯกล่าวว่าทั้งหมดจะมีมาตราการจูงใจให้เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนอาชีพให้มีความยั่งยืนมากกว่าที่เป็นอยู่ และลดต้นทุนการผลิตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งไม่สามารถใช้กฎหมายบังคับเกษตรกรได้ ขึ้นอยู่กับสมัครใจและการชวนเชิญ ซึ่งต้องหามาตราการชักจูงทางการเงินให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนอาชีพด้วย ที่เกษตรกรไม่ต้องกู้เงินมาลงทุนในการผลิตแบบเดิมเพราะเป็นความเสี่ยง แต่เกษตรกรบางคนที่อาจต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนเพราะเคยชินทำอย่างเดิม
 
"ตอนนี้เราเริ่มสร้างโอกาสให้กับเกษตรกร กระทรวงเกษตรฯยังมีเวลาหารือกับกระทรวงพาณิชย์ โดยกระทรวงเกษตรฯเป็นเจ้าภาพร่างยุทธศาตร์นี้ ต้องมีมาตรการชักจูงเกษตรกร ผสมผสานหลายๆอย่างกับเทคโนโลยีใหม่ๆเข้าไปช่วยส่งเสริมพร้อม กับสนับสนุนการเงิน และมีการควบคุมการผลิตที่ตรงกับความต้องการตลาด จะลดปัญหาสต็อกสินค้าเกษตรลงไปได้ คาดว่าใช้เวลาอีกหนึ่งสัปดาห์จะตกผลึก ก่อนเสนอยุทธศาสตร์เข้าครม."นายปีติพงศ์ กล่าวว่า
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า 30 กันยายน 2557

สศข.6 แจง คณะทำงานพัฒนาคุณภาพข้อมูลด้านพืชตะวันออก ให้การรับรองข้อมูล 8 สินค้า

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต 6 แจงผลการประชุมคณะทำงานพัฒนาคุณภาพข้อมูลด้านพืชภาคตะวันออก เผย ที่ประชุมให้การรับรองข้อมูล 8 สินค้า ได้แก่ ข้าวนาปรัง มันสำปะหลังโรงงาน เงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง ลำไย และ ลิ้นจี่ ปี 2557

นายพลเชษฐ์ ตราโช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต 6 ชลบุรี (สศข.6) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะทำงานพัฒนาคุณภาพข้อมูลด้านพืชภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2557 เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม สศข.6 ซึ่งในปีงบประมาณ 2557 คณะทำงานฯ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบรับรองข้อมูลเอกภาพระดับอำเภอ/จังหวัดให้กับคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพข้อมูลด้านการเกษตร ด้านพืช ไปแล้ว 2 ครั้ง จำนวน 6 สินค้า คือสับปะรดโรงงาน มันสำปะหลังโรงงงาน ปาล์มน้ำมัน ยางพาราปี 2556 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2556/57

สำหรับในครั้งนี้ เป็นการประชุมเพื่อให้การรับรองข้อมูลข้าวนาปรัง มันสำปะหลังโรงงาน เงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง ลำไย และลิ้นจี่ ปี 2557 ของภาคตะวันออกรวม 8 สินค้า ซึ่งคณะทำงานฯ ได้ให้ความเห็นชอบข้อมูลดังกล่าวแล้ว ได้แก่

ข้าวนาปรังปี 2557 มีเนื้อที่เพาะปลูก 1,045,740ไร่ เนื้อที่เก็บเกี่ยว 1,030,467 ไร่ ผลผลิตรวม 700,395 ตัน ผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว 680 กิโลกรัม (ณ ความชื้น 15 %) เมื่อเทียบกับปี 2556 เนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.47

มันสำปะหลังโรงงานปี 2557 มีจำนวนเนื้อที่เพาะปลูก 1,475,738 ไร่ เนื้อที่เก็บเกี่ยว 1,339,336ไร่ ผลผลิตรวม 4,877,258 ตัน ผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว 3,642 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2556 เนื้อที่เพาะปลูก เนื้อที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตต่อไร่ และผลผลิตรวมลดลงทั้งหมดร้อยละ 1.59 6.29 1.24 และ 7.49 ตามลำดับ

เงาะปี 2557 มีจำนวนเนื้อที่ยืนต้น 145,512 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 138,757 ไร่ ผลผลิตรวม 230,646 ตัน ผลผลิต ต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว 1,662 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2556 เนื้อที่ยืนต้นและเนื้อที่ให้ผลลดลงร้อยละ 5.85 และ 6.66 เนื่องจากราคาเงาะไม่จูงใจให้ขยายพื้นที่ ส่วนผลผลิตต่อไร่ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.77 ส่งผลให้ผลผลิตรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.62

ทุเรียนปี 2557 มีจำนวนเนื้อที่ยืนต้น 285,708 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 246,524 ไร่ ผลผลิตรวม 350,645 ตัน ผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว 1,422 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2556 เนื้อที่ยืนต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.13 เนื้อที่ให้ผลลดลงร้อยละ 1.12 เนื่องจากราคาทุเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีติดต่อกันมาถึง 3 ปี ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.97 ผลผลิตรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.83

มังคุดปี 2557 มีจำนวนเนื้อที่ยืนต้น 206,902 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 186,049 ไร่ ผลผลิตรวม 145,945 ตัน ผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว 784 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2556 เนื้อที่ยืนต้นลดลงร้อยละ 1.42 เนื้อที่ให้ผลเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.78 ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 7.22 เนื่องจากปลายปี 2556 อากาศหนาวนานมังคุดจึงไม่ติดดอก ผลผลิตรวมลดลงร้อยละ 5.51

ลองกองปี 2557 มีจำนวนเนื้อที่ยืนต้น 108,125 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 98,232 ไร่ ผลผลิตรวม 57,033 ตัน ผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว 581 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2556 เนื้อที่ยืนต้น เนื้อที่ให้ผล ผลผลิตต่อไร่ และผลผลิตรวมลดลงทั้งหมดร้อยละ 5.38 2.95 8.65 และ 11.16 ตามลำดับ เนื่องจากราคาลองกองตกต่ำมาหลายปี

ลำไยปี 2557 มีจำนวนเนื้อที่ยืนต้น 161,264 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 142,699 ไร่ ผลผลิตรวม 271,793 ตัน ผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว 1,905 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2556 เนื้อที่ยืนต้น เนื้อที่ให้ผล และผลผลิตรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.11 13.93 และ 12.48 ตามลำดับ แต่ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 1.24 เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นมาก

ลิ้นจี่ปี 2557 มีจำนวนเนื้อที่ยืนต้น 3,815 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 3,774 ไร่ ผลผลิตรวม 3,244 ตัน ผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว 860 กิโลกรัม สำหรับลิ้นจี่ ปี 2557 ได้จัดทำข้อมูลร่วมกันเป็นปีแรกโดยมีเนื้อที่ยืนต้น 3,815 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 3,774 ไร่ ผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่ให้ผล 860 กิโลกรัม มีผลผลิตรวมจำนวน 3,244 ตัน

ทั้งนี้ ข้อมูลที่ผ่านความเห็นชอบของคณะทำงานฯ ในครั้งนี้จะได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพข้อมูลด้านการเกษตร ด้านพืช เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบข้อมูลก่อนนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพข้อมูลด้านการเกษตร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นข้อมูลเอกภาพของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปเผยแพร่และใช้ประโยชน์ต่อไป

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร วันที่ 29 กันยายน 2557

ll..สศก. เปิดโปรเจคใหญ่รุกศึกษาวิจัยโลจิสติกส์-โซ่อุปทาน 5 สินค้าเกษตร..ll

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ลุยโปรเจคใหญ่ ร่วม สกว. ศึกษาและวิจัยโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสินค้าเกษตรที่สำคัญ” ของสินค้าข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ทุเรียน และหน่อไม้ฝรั่ง แบบครอบคลุมทุกมิติ เผย ขณะนี้ลงนามร่วมกันแล้ว กำหนดระยะเวลาโครงการ 1 ปี เริ่ม 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2558

นายอนันต์ ลิลา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาการรวบรวมข้อมูลเรื่องการพัฒนาโลจิสติกส์และโซ่อุปทานด้านการเกษตรทั้งระดับมหภาคและจุลภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังมีอยู่จำกัด ไม่ครอบคลุมกิจกรรมโลจิสติกส์ตลอดโซ่อุปทานการเกษตร ส่วนใหญ่ยังคงเน้นการจัดเก็บข้อมูลในมิติต้นทุนโลจิสติกส์เป็นสำคัญ ขณะที่การจัดทำข้อมูลโลจิสติกส์ในมิติอื่น โดยเฉพาะในมิติเวลา และมิติความน่าเชื่อถือยังมีน้อย จึงทำให้การจัดทำแผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตรในช่วงที่ผ่านมา ยังคงเน้นการขับเคลื่อนเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ ขณะที่ในหน่วยธุรกิจเกษตรอื่นๆ โดยเฉพาะผู้รวบรวม ผู้ประกอบการ โรงงานรับซื้อผลผลิต โรงงานแปรรูปและผู้ส่งออก ให้ความสำคัญในการวางแผนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจกรรมโลจิสติกส์ครอบคลุมในมิติต่างๆ โดยเน้นการพัฒนาและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ตัวดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์สินค้าเกษตร และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม จึงมีผลทำให้หน่วยธุรกิจเหล่านี้ สามารถมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้เฉลี่ยร้อยละ 75 ของมูลค่าเพิ่มในโซ่คุณค่าทั้งหมด ขณะที่เหลือร้อยละ 25 เป็นมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของเกษตรกร หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่าเกษตรกรได้รับผลประโยชน์จากการผลิตสินค้าเกษตรน้อยมาก เนื่องจากเกษตรกรยังจำกัดบทบาทของตนเองในขั้นตอนการผลิต ดังนั้น การที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้และผลประโยชน์ทางการเกษตรในสัดส่วนที่มากขึ้นนั้น จะต้องให้เกษตรกรมีบทบาทในขบวนการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานด้านการเกษตรให้มากขึ้น

สำหรับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยระยะที่ 1 พ.ศ. 2550-2554 และระยะที่ 2 พ.ศ. 2556-2560 ได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ในภาคการผลิต การให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้ด้านการจัดการระบบโลจิสติกส์ในระดับฟาร์ม การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรเพื่อลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในโซ่อุปทานของเกษตรกร และเพิ่มมูลค่าเพิ่มจากโซ่อุปทาน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพหลักในการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ในภาคเกษตรกรรม เพื่อยกระดับความสามารถของการบริหารจัดการโลจิสติกส์ตลอดโซ่อุปทาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรของประเทศ มีเป้าประสงค์เพื่อลดต้นทุนที่เกิดจากการบริหารจัดการในกระบวนการโลจิสติกส์การเกษตร และลดความสูญเสียจากการเน่าเสียของสินค้าจากกระบวนการเก็บรักษาและระบบขนส่งสินค้า

ดังนั้น เพื่อให้ภาครัฐมีฐานข้อมูลระบบการประเมินประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนโลจิสติกส์ของสินค้าเกษตร ตัวดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์สินค้าเกษตร (Logistics Performance Index : LPI) ที่สามารถสะท้อนพฤติกรรมที่แท้จริง และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศคำนวณได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน สศก. จึงเห็นควรมีการศึกษาแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลการประเมินประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์สินค้าเกษตร ตามกิจกรรมในโซ่อุปทานสินค้าเกษตรและหน่วยธุรกิจการเกษตร ประกอบด้วยสินค้าเกษตรสำคัญคือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ผัก (หน่อไม้ฝรั่ง) และผลไม้ (ทุเรียน) ครอบคลุมในมิติที่สำคัญประกอบด้วย มิติด้านต้นทุน มิติด้านเวลา และมิติด้านความน่าเชื่อถือ เพื่อเป็นเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานของหน่วยธุรกิจการเกษตรตลอดโซ่อุปทานสินค้าเกษตรเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงปัจจัยที่มีความแตกต่างกันของพืชเศรษฐกิจแต่ประเภท ได้แก่ สายพันธุ์พืช พื้นที่ศึกษา และขนาดของกลุ่มเกษตรกร เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำไปสู่การกำหนดนโยบาย แนวทาง และแผนงาน/โครงการ เพื่อยกระดับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานภาคการเกษตรของประเทศต่อไป

ทั้งนี้ สศก. ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อดำเนิน“โครงการศึกษาและวิจัยโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสินค้าเกษตรที่สำคัญ” ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ทุเรียน และหน่อไม้ฝรั่ง ระยะเวลาโครงการ 1 ปี (ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2558) ซึ่งขณะนี้ ได้มีการลงนามในสัญญารับทุนอุดหนุนการวิจัย เรียบร้อยแล้ว

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ลุยโปรเจคใหญ่ ร่วม สกว. ศึกษาและวิจัยโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสินค้าเกษตรที่สำคัญ” ของสินค้าข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ทุเรียน และหน่อไม้ฝรั่ง แบบครอบคลุมทุกมิติ เผย ขณะนี้ลงนามร่วมกันแล้ว กำหนดระยะเวลาโครงการ 1 ปี เริ่ม 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2558

นายอนันต์ ลิลา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาการรวบรวมข้อมูลเรื่องการพัฒนาโลจิสติกส์และโซ่อุปทานด้านการเกษตรทั้งระดับมหภาคและจุลภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังมีอยู่จำกัด ไม่ครอบคลุมกิจกรรมโลจิสติกส์ตลอดโซ่อุปทานการเกษตร ส่วนใหญ่ยังคงเน้นการจัดเก็บข้อมูลในมิติต้นทุนโลจิสติกส์เป็นสำคัญ ขณะที่การจัดทำข้อมูลโลจิสติกส์ในมิติอื่น โดยเฉพาะในมิติเวลา และมิติความน่าเชื่อถือยังมีน้อย จึงทำให้การจัดทำแผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตรในช่วงที่ผ่านมา ยังคงเน้นการขับเคลื่อนเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ ขณะที่ในหน่วยธุรกิจเกษตรอื่นๆ โดยเฉพาะผู้รวบรวม ผู้ประกอบการ โรงงานรับซื้อผลผลิต โรงงานแปรรูปและผู้ส่งออก ให้ความสำคัญในการวางแผนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจกรรมโลจิสติกส์ครอบคลุมในมิติต่างๆ โดยเน้นการพัฒนาและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ตัวดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์สินค้าเกษตร และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม จึงมีผลทำให้หน่วยธุรกิจเหล่านี้ สามารถมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้เฉลี่ยร้อยละ 75 ของมูลค่าเพิ่มในโซ่คุณค่าทั้งหมด ขณะที่เหลือร้อยละ 25 เป็นมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของเกษตรกร หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่าเกษตรกรได้รับผลประโยชน์จากการผลิตสินค้าเกษตรน้อยมาก เนื่องจากเกษตรกรยังจำกัดบทบาทของตนเองในขั้นตอนการผลิต ดังนั้น การที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้และผลประโยชน์ทางการเกษตรในสัดส่วนที่มากขึ้นนั้น จะต้องให้เกษตรกรมีบทบาทในขบวนการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานด้านการเกษตรให้มากขึ้น

สำหรับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยระยะที่ 1 พ.ศ. 2550-2554 และระยะที่ 2 พ.ศ. 2556-2560 ได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ในภาคการผลิต การให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้ด้านการจัดการระบบโลจิสติกส์ในระดับฟาร์ม การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรเพื่อลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในโซ่อุปทานของเกษตรกร และเพิ่มมูลค่าเพิ่มจากโซ่อุปทาน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพหลักในการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ในภาคเกษตรกรรม เพื่อยกระดับความสามารถของการบริหารจัดการโลจิสติกส์ตลอดโซ่อุปทาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรของประเทศ มีเป้าประสงค์เพื่อลดต้นทุนที่เกิดจากการบริหารจัดการในกระบวนการโลจิสติกส์การเกษตร และลดความสูญเสียจากการเน่าเสียของสินค้าจากกระบวนการเก็บรักษาและระบบขนส่งสินค้า

ดังนั้น เพื่อให้ภาครัฐมีฐานข้อมูลระบบการประเมินประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนโลจิสติกส์ของสินค้าเกษตร ตัวดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์สินค้าเกษตร (Logistics Performance Index : LPI) ที่สามารถสะท้อนพฤติกรรมที่แท้จริง และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศคำนวณได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน สศก. จึงเห็นควรมีการศึกษาแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลการประเมินประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์สินค้าเกษตร ตามกิจกรรมในโซ่อุปทานสินค้าเกษตรและหน่วยธุรกิจการเกษตร ประกอบด้วยสินค้าเกษตรสำคัญคือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ผัก (หน่อไม้ฝรั่ง) และผลไม้ (ทุเรียน) ครอบคลุมในมิติที่สำคัญประกอบด้วย มิติด้านต้นทุน มิติด้านเวลา และมิติด้านความน่าเชื่อถือ เพื่อเป็นเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานของหน่วยธุรกิจการเกษตรตลอดโซ่อุปทานสินค้าเกษตรเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงปัจจัยที่มีความแตกต่างกันของพืชเศรษฐกิจแต่ประเภท ได้แก่ สายพันธุ์พืช พื้นที่ศึกษา และขนาดของกลุ่มเกษตรกร เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำไปสู่การกำหนดนโยบาย แนวทาง และแผนงาน/โครงการ เพื่อยกระดับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานภาคการเกษตรของประเทศต่อไป

ทั้งนี้ สศก. ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อดำเนิน“โครงการศึกษาและวิจัยโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสินค้าเกษตรที่สำคัญ” ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ทุเรียน และหน่อไม้ฝรั่ง ระยะเวลาโครงการ 1 ปี (ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2558) ซึ่งขณะนี้ ได้มีการลงนามในสัญญารับทุนอุดหนุนการวิจัย เรียบร้อยแล้ว

 






Powered by Allweb Technology.