Company Logo





พยากรณ์อากาศ

สรุปรายละเอียด อัตราค่าแปรสภาพและค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56




สรุปรายละเอียด

อัตราค่าแปรสภาพและค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56

       

          1. อัตราแปรสภาพ

                   - อัตราแปรสภาพหัวมันสด 2.42 กก. เป็นมันเส้น 1 กก.

                   - อัตราแปรสภาพหัวมันสด  4.4  กก. เป็นมันเส้น 1 กก.

          2. ค่าใช้จ่ายในการแปรสภาพ

                   - ค่าใช้จ่ายในการแปรสภาพหัวมันสดเป็นมันเส้น ตันละ 413 บาท

                   - ค่าใช้จ่ายในการแปรสภาพหัวมันสดเป็นแป้งมัน ตันละ 3,500 บาท

          3. ค่าขนส่งอัตราเดียวกันกับอัตราค่าขนส่งโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2555/56 ดังนี้

         

ระยะทาง

ค่าขนส่ง

ระยะทาง

ค่าขนส่ง

50 กม.

100 กม.

150 กม.

200 กม.

250 กม.

300 กม.

350 กม.

400 กม.

150 บาท/ตัน

180 บาท/ตัน

220 บาท/ตัน

260 บาท/ตัน

290 บาท/ตัน

330 บาท/ตัน

360 บาท/ตัน

400 บาท/ตัน

450 กม.

500 กม.

550 กม.

600 กม.

650 กม.

700 กม.

เกินกว่า 700 กม.

 

440 บาท/ตัน

480 บาท/ตัน

510 บาท/ตัน

550 บาท/ตัน

580 บาท/ตัน

600 บาท/ตัน

600 บาท/ตัน


ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการแปรสภาพและค่าขนส่ง ตามข้อ 2 และ 3 หักจ่ายเป็นผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง

          4. อัตราค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษามันเส้น ดังนี้

              (1.) ค่าฝากเก็บ (รวมประกันภัย) เดือนละ 21.90 บาท/ตัน

              (2.) ค่าตรวจสอบคุณภาพ ตันละ 17.10 บาท

              (3.) ค่าแรงกรรมกรขนเข้า – ออก ตันละ 15 บาท

              (4.) ค่าพลิกกอง ตันละ 16 บาท ( 2 เดือนต่อครั้ง)

          5. อัตราค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาแป้งมัน ดังนี้

              (1.) ค่าฝากเก็บ (รวมประกันภัย) เดือนละ 31 บาท/ตัน

              (2.) ค่าแรงกรรมกรขนเข้า – ออก ตันละ 85 บาท

              (3.) ค่าตรวจสอบคุณภาพ ตันละ 17.10 บาท

          6. อัตราสูญเสียน้ำหนักระหว่างเก็บรักษามันเส้น กำหนดให้มีน้ำหนักสูญหายตลอดระยะเวลาการเก็บรักษาที่ขาดหายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 1 ของปริมาณการเก็บรักษา

วิสาหกิจชุมชนคนรักการเกษตรเอี่ยมเฮง โมเดลการเกื้อกูลกันระหว่างวิถีเกษตรกับภาคอุตสาหกรรม‏




จากกรณีที่เกษตรกรในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน ต.กุดโบสถ์ อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ได้นำน้ำจากบ่อบำบัดน้ำเสียของ บริษัท เอี่ยมเฮงอุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจในกิจการผลิตแป้งมันสำปะหลัง เป็นแหล่งรวบรวมและรับซื้อผลผลิตหัวมันสดจากเกษตรกรทั้งในและนอกเขตปฏิรูปที่ดิน มาใช้ประโยชน์ในแปลงเกษตร โดยพื้นที่บางส่วนของบ่อบำบัดน้ำเสียนั้น คาบเกี่ยวรุกล้ำเข้าไปในเขตพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน


ดังนั้น เมื่อสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) แจ้งให้บริษัทเอี่ยมเฮงฯ ปฏิบัติตาม คำพิพากษา ซึ่งจะเป็นผลให้บ่อบำบัดน้ำเสียที่เป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรของกลุ่มเกษตรกรต้องถูกฝังกลบ และไม่สามารถใช้ทำการเกษตรได้ เกษตรกรจึงขาดแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่ จึงเกิดกรณีข้อขัดแย้งและการร้องทุกข์เพื่อของดการฝังกลบบ่อบำบัดน้ำเสียให้คงอยู่ เพื่อการใช้ประโยชน์เป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรของชุมชนร่วมกัน

ทั้งนี้ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ได้รับทราบผลการ ตรวจสอบของคณะอนุกรรมการ ที่ผ่านมา ส.ป.ก. ได้หารือกรณีที่จะไม่ทำการกลบบ่อบำบัดน้ำเสียกับกระทรวงการคลัง ปรากฏผลตามหนังสือตอบข้อหารือที่ กค 0410.2/3376 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555 ว่า การงดดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษานั้น ส.ป.ก. สามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาอำนาจหน้าที่และความจำเป็นที่ต้องจัดบ่อน้ำในพื้นที่ว่าเป็นเท่าใดและจะงดการบังคับคดีบางส่วน โดย ผ่อนผันงดเว้นการถมบ่อเฉพาะจำนวนเท่าที่ ส.ป.ก. เห็นสมควร เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการที่จะไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการขุดบ่อน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ โดยบ่อน้ำที่ได้รับการผ่อนผันต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและหากจำเป็นต้องมีการซ่อมแซมหรือปรับปรุงให้บริษัท เป็นผู้รับผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย

นายชาญชัย อติวรรณาพัฒน์ หัวหน้าโครงการเสิงสางโมเดล และ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาพื้นที่ภาคกลาง สำนักพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า พื้นที่โรงงานดังกล่าวตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่เกษตรกรรม และกิจการโรงงานต้องนำน้ำดี จากลำปลายมาศเข้ามาใช้ดำเนินการผลิต ทำให้มีน้ำเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตลงสู่พื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งโรงงานได้มีมาตรฐานการบำบัดและระบายน้ำเสียที่บำบัดแล้วออกจากโรงงานในปี 2545 ต่อมาเกษตรกรในพื้นที่ได้รวมตัวและจัดตั้งกลุ่มเกษตรกร "ชุมชนคนรักการเกษตร" ขึ้น ซึ่งมีสมาชิกเริ่มต้น จำนวน 18 ครัวเรือน นำน้ำจากบ่อบำบัดน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วและได้รับรองคุณภาพว่าปลอดภัย สามารถทำการเกษตรได้ ไปใช้ประโยชน์ทำการเกษตรในกลุ่มของตนเอง ส่งผลให้พืชที่เพาะปลูกเจริญงอกงามและได้ผลผลิตดี หลังจากนั้นจึงเกิดการขยายตัวของกลุ่มเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น มีสมาชิก 250 ครัวเรือน และในปี พ.ศ. 2550 ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็น"วิสาหกิจชุมชน คนรักการเกษตรเอี่ยมเฮง"

ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนคนรักการเกษตรเอี่ยมเฮง ได้มีการพัฒนาระบบการนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วมาจัดสร้างหอถังส่งน้ำและท่อส่งน้ำ กระจายไปสู่แปลงเกษตรกรรมที่อยู่ห่างไกลจากบ่อบำบัดน้ำเสีย (ขนาดท่อน้ำ เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้ว ความหนาของ ท่อน้ำ 2 มิลลิเมตร ระยะทาง 5 กิโลเมตร) ทำให้จำนวนเกษตรกร และพื้นที่เกษตรกรรม ที่ได้รับประโยชน์ขยายวงกว้างไปอีก 378 ครัวเรือน ในพื้นที่กว่า 3,000 ไร่

ด้านนายโปรย ปราสาทกลาง ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคนรักการเกษตรเอี่ยมเฮง และเป็นเกษตรกรที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ต.กุดโบสถ์ อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา เล่าให้ฟังว่า เดิมพื้นที่แถบนี้ทำการเกษตรไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากอยู่นอกเขตชลประทาน แห้งแล้ง ขาดน้ำในการทำการเกษตร เกษตรกรส่วนใหญ่จึงปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งมันสำปะหลังให้ผลผลิตเพียงปีละครั้งเท่านั้น แต่หลังจากมีบ่อบำบัด น้ำเสียของ บริษัท เอี่ยมเฮงฯ เกษตรกรจึงสามารถลืมตาอ้าปากได้ เพราะสามารถนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วมาใช้ประโยชน์ในการรดน้ำพืชผักที่ปลูกไว้ ทำให้มีรายได้ตลอดทั้งปี

"ทุกวันนี้โอกาสขาดทุนก็ไม่มี เนื่องจากในน้ำที่ผ่านการบำบัดมี แร่ธาตุและฟอสฟอรัสอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ลดต้นทุนในการซื้อปุ๋ย อีกทั้งยังมีรายได้จากการขายพืชผักต่างๆ เช่น ผักชี หัวหอม กระเทียม ข้าวโพดหวาน และกะหล่ำปลี วันละ ประมาณ 1,300 บาท ส่งผลให้ปัจจุบันมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตมีความสุขมากขึ้น" นายโปรย กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์  พฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2555

"เดอะโต้ง"รับกลางสภา กราบนายทุนมันสำปะหลังชื่อ"สุกิจ หวั่งหลี"จริงเพราะเป็นเจ้านายเก่าที่เคารพ



กิตติรัตน์ ณ ระนอง


เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไป เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรายบุคคล นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ชี้แจงกรณีที่ถูกนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายพาดพิงเกี่ยวกับการรับจำนำมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนว่า มีบุคคลไปเปิดงานที่โคราช แล้วคุกเข่าก้มลงกราบบุคคลหนึ่งชื่อย่อ “ส” นามสกุล “ห” เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าบุคคลที่ไปเปิดงานเป็นใคร ตนยอมรับว่าไปเปิดงานที่โคราชจริงและบุคคลที่ตนคุกเข่ากราบนั้นเป็นบุคคลที่วงการมันสำปะหลังนับถือมากชื่อ นายสุกิจ หวั่งหลี เจ้าของบริษัท พูลผล จำกัด ตนเคยทำงานในบริษัทนี้เป็นเวลา 3 ปี จึงไม่ละเลยที่จะชื่นชมผลงานและการบริหารของคนคนนี้ ท่านเป็นบุคคลที่ตนให้ความเคารพนับถือและพึงได้รับการนับถือจริง อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินนโยบายต่างๆ ไม่ได้นำเรื่องความสนิทสนม ไม่ได้นำมาเป็นเรื่องการให้ประโยชน์ ให้คุณให้โทษกับใคร

ที่มา : Matichon Online วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

link youtube ฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส.ส.พุทธิพงษ์ และการชี้แจงของ ฯพณฯ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ตาม link ด้านล่าง
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส.ส.พุทธิพงษ์ 
การชี้แจงของ ฯพณฯ กิตติรัตน์ ณ ระนอง

โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/56



คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานครั้งที่ 16/2555 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ดังนี้

1.   อนุมัติเป้าหมายการรับจำนำมันสำปะหลัง ในจำนวน 10 ล้านตัน เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา และให้ปรับลดวงเงินค่าใช้จ่ายลงตามสัดส่วนของปริมาณเป้าหมายที่ลดลง โดยให้ใช้งบประมาณจากกรอบวงเงินเดิม 410,000 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2555 ซึ่งหากมีความจำเป็นสามารถขอขยายเพิ่มเติมในภายหลัง เพื่อไม่ให้กรอบวงเงินค่าใช้จ่ายสูงเกินไปและส่งผลต่อกรอบวงเงินของสินค้าเกษตรชนิดอื่น ประกอบกับราคามันสำปะหลังในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับราคารับจำนำ ทั้งนี้ ควรดำเนินการรับจำนำเมื่อราคามันสำปะหลังลดต่ำกว่าเกณฑ์ราคาที่กำหนดตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร

2.   มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการดังนี้

​(1) ปรับลดวงเงินจ่ายขาด จำนวน 5,223.056 ล้านบาท ให้สอดคล้องกับปริมาณเป้าหมาย รวมทั้งปรับลดค่าแปรสภาพให้สอดคล้องกับการนำผลผลิตหัวมันสำปะหลังสดไปผลิตเป็นเอทานอลโดยตรง โดยอัตราค่าใช้จ่ายจ่ายขาดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(2) ดำเนินการเกี่ยวกับการนำส่งเงินจากการจำหน่ายสินค้าตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังเพื่อชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในทันทีและ/หรือภายใน 3 วันทำการ โดยยึดแนวทางปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2555
(3) จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปริมาณสต๊อกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และแผนการระบายมันสำปะหลัง รวมทั้งร่วมกับกระทรวงพลังงานในการจัดทำแผนการใช้มันสำปะหลังในการผลิตเอทานอล

3.   มอบหมายให้กระทรวงพลังงานจัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง รวมทั้งผู้ประกอบการด้านพลังงานเพื่อหาแนวทางการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันและการส่งออกเอทานอลของประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการลดภาระการรับจำนำมันสำปะหลังของประเทศ

สัญญาณร้าย! รง.แป้งมันโคราชลดกำลังผลิต ลอยแพพนักงานกว่า 100 ชีวิต


ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ลางร้ายเศรษฐกิจ! โรงงานแป้งมันโคราชลดกำลังการผลิต ลอยแพพนักงานกว่า 100 ชีวิต แห่ขึ้นทะเบียนประกันการว่างงานเพื่อขอรับเงินชดเชย ด้านจัดหางานจังหวัดฯ แนะคนงานที่ถูกเลิกจ้างให้รีบมาขึ้นทะเบียนคนว่างงานเพื่อรักษาสิทธิฯ ของตัวเองหลังถูกเลิกจ้างภายใน 7 วัน

วันนี้ (6 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา อดีตพนักงานของบริษัท พีวีดี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง ตั้งอยู่ในเขต ต.หนองหัวแรด อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา จำนวนกว่า 100 คน ได้เดินทางมายื่นขอขึ้นทะเบียนประกันการว่างงาน หลังถูกบริษัทเลิกจ้าง เนื่องจากทางโรงงานลดกำลังการผลิต และต้องการลดการจ้างแรงงาน

นายจรูญ ดอนกระโทก อายุ 46 ปี อดีตพนักงานโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง บริษัท พีวีดี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ถูกเลิกจ้าง กล่าวว่า ตนทำงานฝ่ายผลิตของโรงงานแห่งนี้มานานกว่า 10 ปี โดยเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบริษัทได้ทำหนังสือแจ้งให้คนงานทราบว่าจะมีการเลิกจ้างงานจำนวน 120 คน เนื่องจากทางโรงงานได้ลดกำลังการผลิตลงตามออเดอร์งาน ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องลดคนงานลงด้วยโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 2555 เป็นต้นมา ซึ่งตนเป็นหนึ่งในคนงานที่ถูกเลิกจ้าง หลังถูกเลิกจ้างคนงานทั้งหมดจึงเดินทางมาขึ้นทะเบียนประกันการว่างงานเพื่อขอรับเงินชดเชยต่อไป

ด้าน น.ส.อัญชลี สินธุพันธ์ จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ขณะนี้โรงงานในพื้นที่หลายแห่งของ จ.นครราชสีมามีการลดกำลังการผลิตลง ส่งผลให้ต้องลดจำนวนคนงานลงด้วย ซึ่งทำให้คนงานจำนวนมากถูกเลิกจ้าง จึงอยากเตือนให้คนงานที่ถูกเลิกจ้างเหล่านี้รักษาสิทธิประโยชน์ของตนเองด้วยการมาขึ้นทะเบียนประกันการว่างงานไว้เพื่อรับเงินช่วยเหลือ ซึ่งกรณีถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นเวลาไม่เกิน 180 วัน หรือกรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 30 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นเวลาไม่เกิน 90 วัน

อย่างไรก็ตาม แรงงานที่ถูกเลิกจ้างหรือลาออกจะต้องมาขึ้นทะเบียนประกันตนกรณีว่างงานภายใน 7 วันนับแต่วันที่ถูกเลิกจ้างหรือลาออกจากงาน โดยต้องเตรียมหลักฐานต่างๆ ประกอบด้วย รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 1 รูป บัตรประจำตัวประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน สำเนาสมุดเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรก ซึ่งมีชื่อผู้ประกันตน

โดยสามารถยื่นขอใช้สิทธิได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครราชสีมา โทร. 0-4495-8115 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา โทร. 0-4435-5266-7 ได้ทุกวันในเวลาราชการ

 

ที่มา : ASTV ผู้จัดการออนไลน์ /6 พ.ย.55






Powered by Allweb Technology.