Company Logo





พยากรณ์อากาศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทเคลื่อนไหวที่ 30.60-30.90 บาทต่อดอลลาร์ ในสัปดาห์นี้



ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ (5-9 พ.ย.) อาจเคลื่อนไหวที่ระดับ 30.60-30.90 บาทต่อดอลลาร์ โดยต้องติดตามการตอบรับของตลาดการเงิน ต่อตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ รวมทั้งข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงผู้นำจีน และต้วเลขเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนี ISM ภาคบริการเดือน ต.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือน พ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยังมีประเด็นความคืบหน้าต่อสถานการณ์ในกรีซและสเปน ที่ยังคงเป็นจุดสนใจของนักลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วย

ข้อมูล : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ณัฐวุฒิได้งานถนัด "บุญทรง" มอบหน้าที่เคลียร์ม็อบเกษตร



“บุญทรง” เตรียมเรียกประชุม ขรก. กระทรวงพาณิชย์ พร้อมเปิดตัว รมช.เต้น เล็งมอบหน้าที่ให้เคลียร์ม็อบเกษตรกร แย้มดึงงานส่งออกกลับมาดูแลเอง ด้าน “ณัฐวุฒิ” เข้าอำลา ก.เกษตรฯ ระบุยันผูกพัน ขอประสานงานใกล้ชิดตลอดไป…

เมื่อวันที่ 29 ต.ค. นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้  (30 ต.ค.) จะเรียกประชุมข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อมอบนโยบายการทำงานภายใต้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และถือโอกาสแนะนำนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ หลังจากที่ได้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึงจะหารือแนวทางการทำงานในระยะต่อไป ซึ่งคงไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร เนื่องจากนโยบายที่ผ่านมา ถือว่าทำได้ดี และประสบผลสำเร็จ ทั้งในเรื่องการรับจำนำสินค้าเกษตร และการดูแลค่าครองชีพ

“คงไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ เพราะรู้แล้วว่านายณัฐวุฒิได้มาช่วยทำงานที่กระทรวงพาณิชย์ งานหลักๆ ที่จะมอบหมายก็คงเป็นงานที่ รมช.ทั้ง 2 คนก่อนดูแล และคงให้ช่วยดูแลม็อบเกษตรกรต่างๆ ด้วย ยกเว้นงานส่งออกจะดึงกลับมาดูแลเอง” นายบุญทรงกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าสำหรับการแบ่งงานความรับผิด ชอบนั้น นายบุญทรงระบุว่า จะให้นายณัฐวุฒิ ดูแลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) และสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะไปดำรงตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้เดินทางมาทำพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากนั้นข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯ นำโดยนายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงฯ ได้มารอส่ง และกล่าวอำลาซึ่งกันและกัน

“ก่อนหน้านี้ได้ อำลาข้าราชการไปแล้ว 1 รอบ วันนี้ก็ลาเป็นทางการอีกรอบ ซึ่งตนเองเป็นคนเกษตรฯ เต็มตัว แม้จะไปอยู่กระทรวงพาณิชย์แล้ว แต่ยังต้องขอความร่วมมือและประสานงานกันอย่างใกล้ชิดต่อไป” นายณัฐวุฒิกล่าว

โดย: ไทยรัฐออนไลน์ วันที่ 29 ตุลาคม 2555

ครม.ไทย-เวียดนามเล็งเพิ่มมูลค่าการค้า20%



บุญทรง เตริยาภิรมย์


ครม.ไทยบุกเวียดนามหารือการค้า-ลงทุนตั้งเป้า เพิ่มมูลค่าการค้าสองฝ่าย 20% ใน 3 ปี


นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 26-27 ต.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของไทย เดินทางไปประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีของเวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการครั้งที่ 2 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์จะมีการหารือขยายความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน และติดตามความร่วมมือด้านตลาดข้าว ตลาดมันสำปะหลังร่วมกัน โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้การค้าและการลงทุนสองฝ่ายภายใน 3 ปี 2555-2558 ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่ำ 20% ทั้งนี้การค้าสองฝ่ายระหว่างไทย-เวียดนามในปี 2554 มีมูลค่า 9.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการส่งออกจากไทยมูลค่า 7.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้ามูลค่า 2.03พันล้านดอลลาร์

สำหรับ ความร่วมมือด้านการค้าข้าวกับเวียดนาม จะแยกประเด็นการหารือออกจากกรอบความร่วมมือค้าข้าวอาเซียน ซึ่งการเจรจาจะเป็นความร่วมมือการค้าข้าวระหว่างไทยและเวียดนามเท่านั้น โดยเฉพาะการหารือเรื่องการไม่ตัดราคาขายข้าวแข่งกัน หรือมีการแบ่งตลาดข้าวให้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ข้าวไทยกับข้าวเวียดนามส่งออกกันคนละตลาด ไม่ต้องมาแข่งขายตัดราคากันเอง

นอกจากนี้ จะมีการหารือเรื่องการสร้างมูลค่าข้าวร่วมกัน วิธีการจะเป็นลักษณะร่วมมือกันแปรรูปข้าวให้เป็นสินค้าชนิดอื่น เพื่อสร้างมูลค่าข้าว หรือการสร้างมาตรฐานข้าวร่วมกัน เพื่อให้ราคาข้าวมีมูลค่าสูงขึ้น และการสร้างเสถียรภาพด้านราคาข้าวในตลาดโลก เพื่อเป็นประโยชน์แก่ชาวนาทั้งสองประเทศ

พร้อมกันนี้ ไทยยังมีแผนที่จะจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าร่วมกันในเวียดนาม ซึ่งจะใช้เป็นศูนย์ในการส่งออกสินค้าไม่เฉพาะข้าวเท่านั้น แต่เป็นสินค้าทุกชนิด หรือแม้แต่การสร้างไซโลข้าวร่วมกันระหว่างไทยและเวียด โดยการหารือจะเป็นข้อสรุปในเบื้องต้นก่อนภายใต้กลไกความร่วมมือระดับ รัฐมนตรี ระดับเจ้าหน้าที่ และสมาพันธ์โรงสีและผู้ค้าข้าวอาเซียน หลังจากนั้นจะให้ระดับเจ้าหน้าทั้งสองฝ่ายลงลึกในรายละเอียด เพื่อให้การเจรจาเกิดผลเป็นรูปธรรม

นายบุญทรง กล่าวว่า นอกจากสินค้าข้าวแล้ว จะมีการหารือความร่วมมือเกี่ยวกับสินค้ามันสำปะหลัง โดยการหารือครั้งนี้ คาดว่าเวียดนามจะได้ข้อสรุปว่าจะให้หน่วยงานไหนประสานการทำงานกับกรมการค้า ต่างประเทศของไทย ในการทำตลาดมันสำปะหลังร่วมกัน ซึ่งลักษณะความร่วมมือจะคล้ายกับความร่วมมือด้านข้าว อย่างไรก็ตามการหารือครั้งนี้ จะขอให้เวียดนามผลักดันการพัฒนาระบบการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างสอง ประเทศด้วย

 

ที่มา : โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 27 ตุลาคม 2555

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี




พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี

ประกาศ

ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี

---------------------------------------

(พระปรมาภิไธย) ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.

 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 5 สิงหาคม พุทธศักราช 2554 และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 9 สิงหาคม พุทธศักราช 2554 และประกาศครั้งสุดท้ายลงวันที่ 18 มกราคม พุทธศักราช 2555 นั้น

บัดนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตำแหน่ง สมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตำแหน่ง  เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 และมาตรา 183 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี และแต่งตั้งรัฐมนตรี  ดังต่อไปนี้

 

 1. ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายชัชชาติ  สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายฐานิสร์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

หม่อมราชวงศ์ พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

 

2. ให้แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง

นายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นรองนายกรัฐมนตรี

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

นายวราเทพ รัตนากร เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นายยุคล ลิ้มแหลมทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายศิริวัฒน์  ขจรประศาสน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

พลเอก พฤณท์ สุวรรณทัต เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

นายประชา ประสพดี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

นายสนธยา คุณปลื้ม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

นายประดิษฐ สินธวณรงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

นายชลน่าน ศรีแก้ว เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข

นายประเสริฐ บุญชัยสุข เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

นายฐานิสร์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 

ประกาศ ณ วันที่ 27  ตุลาคม พุทธศักราช 2555  เป็นปีที่ 67 ในรัชกาลปัจจุบัน

 

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นายกรัฐมนตรี

รัฐขู่ตรวจสอบภาษี-การใช้แรงงานบีบรง.ร่วมรับจำนำมันฯ



วัชรี วิมุกตายน

โรงงานมันสำปะหลัง เมินเข้าร่วมโครงการรับจำนำมันฯ อ้างผลตอบแทนต่ำ ส่งผลให้ที่ประชุม
คชก.ขู่ถ้าไม่ร่วมจะให้ กรมสรรพกร-หน่วยงานสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง กระทรวงแรงงาน ตรวจสอบ

                นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)เมื่อเร็วๆนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงการเตรียมพร้อมในโครงการรับจำนำมันสำปะหลังปี 2555/56 โดยได้พิจารณาถึงอัตราค่าตอบแทนการแปรสภาพตามที่ทางสมาคมโรงงานผู้ผลิตมัน สำปะหลัง ร้องขอมา

             โดยสมาคมโรงงานฯเสนอให้ปรับขึ้นจากที่เคยได้รับในการรับจำนำในปีที่ผ่านมา แต่ตัวแทนจาก กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ยืนยันว่า ปัจจุบันเกษตรกรสามารรถผลิตมันได้คุณภาพมากขึ้น สิ่งปลอมปนน้อยลง โดยที่ประชุมเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลที่ต้องปรับขึ้นตามที่ร้องมา โดยให้ยึดตามอัตราเดิมที่เคยจ่าย คือจากหัวมันเป็นมันเส้น ที่ 380 บาทต่อตัน และจากจากหัวมันเป็นแป้งมัน ที่ 3,320บาท ต่อตัน และหากผู้ประกอบการรายใดไม่ต้องการเข้าร่วมโครงการทาง กระทรวงฯก็จะสั่งการให้ หน่วยงาน เช่น สรรพากร หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ในพื้นที่เข้าไปตรวจสอบการดำเนินการในสถานประกอบการแต่ละแห่งว่ามีการดำเนิน การอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่

             “ไม่ได้เป็นการบีบบังคับให้เอกชนมาร่วมโครงการแต่เห็นว่าโครงการดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีทางเลือกมากยิ่งขึ้น” นางวัชรี กล่าว

                ส่วนที่มีการร้องมาจาก สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย ให้เพิ่มอัตราค่าเช่าพื้นที่โกดังนั้นทาง คณะกรรมการจะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ตามความเหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการฯจะต้องได้ข้อสรุปนร่วมกันก่อนที่จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเห็นชอบให้ดำเนินโครงการต่อไป

              ด้านภมร ศรีประเสริฐ อุปนายกสมาคมผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่าสมาชิกของสมาคมกว่า 400 ราย เห็นว่าภาครัฐควรเพิ่มอัตราค่าแปรสภาพมากขึ้นคือจากหัวมันเป็นมันเส้นเป็น 545 บาทต่อตัน และจากหัวมันเป็นแป้งมัน เป็น  3,500 บาทต่อตัน เพราะผู้ประกอบการมีต้นทุนที่สูงขึ้นโดยเฉพาะค่าแรง และเรียกร้องให้พิจารณาราคารับจำนำเริ่มต้น 2.50 บาทและจะเพิ่มแบบขั้นบันใดทุกเดือนๆละ 0.5 สต.เพราะเห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดที่เอกชนรับซื้อมาจากเกษตรกรที่ ประมาณ 2.50-2.75 บาทต่อกก.หากภาครัฐกำหนดราคารับจำนำต่อกว่าราคาซื้อขายจริงในตลาดก็จะทำให้ ผู้นำเข้าอย่างจีนกดราคาผู้ส่งออกไทยเพราะอ้างอิงราคารับจำนำเริ่มต้นของไทย ว่าเป็นราคาที่ต่ำทั้งๆที่พ่อค้าไทยรับซื้อวัตถุดิบสูงกว่าราคารับจำนำ

            รายงานข่าวระบุว่า  จาก การสอบถามพบว่าตัวแทนสมาคมเกี่ยวข้องกับมันสำปะหลังเห็นชอบร่วมกันว่าหากภาค รัฐไม่ปรับเพิ่มค่าตอบแทนให้ตามที่ร้องขอสมาชิกก็อาจจะไม่เข้าร่วมโครงการ รับจำนำ ซึ่งอาจส่งผลให้เมื่อถึงเวลารับจำนำจริงไม่มีจุดรับจำนำมันให้ เกษตรกร เพราะปีที่แล้วมีเอกชนร่วมเป็นจุดรับจำนำกว่า 600 แห่ง นอกจากนี้หากไม่ปรับอัตราค่าเช่าโกดังให้ตามที่เอกชนร้องขอก็ทำให้เจ้าของ โกดังที่เป็นผู้ประกอบการมันสำปะหลังไม่เข้าร่วมโครงการด้วยเช่นกัน ก็จะทำให้ไม่มีพื้นที่เก็บมันในโครงการ

                 “หน้าที่ หาโกดังเก็บมันเป็นขององค์การคลังสินค้า(อคส.)แต่ทางราชการก็ขอเช่าพื้นที่ของผู้ประกอบการเอกชน เราก็พร้อมจะทำให้ แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เราอย่างเหมาะสมเพราะ มันมีการจัดเก็บที่แตกต่างกับข้าวจะใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ได้ เพราะเอกชนไม่ได้ต้องการให้มีการับจำนำแต่ต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไก ตลาดรัฐบาลดูแลราคาให้มีเสถียรภาพก็พอ” แหล่งข่าวจากวงการมันสำปะหลัง กล่าว

                สำหรับสถานการณ์ทันสำปะหลังนั้นมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นทุกปี โดยแต่ละปีมีการส่งออกในรูปของมันเส้นที่  4 ล้านตัน มูลค่า 3-40,000 ล้านบาท แป้งมัน 2.5-3  ล้านตัน มูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มจะเติบโตเพิ่มขึ้นหากสหรัฐและประเทศอื่นๆประสบปัญหาภัยธรรมชาติ และผลผลิตลดลง ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังจะออกมาในช่วงเดือนพ.ย.-ม.ค. ของทุกปี โดยมติของคชก.เห็นชอบให้รับจำนำ 15 ล้านตันจากผลผลิตที่ออกมาประมาณ 25 ล้านตัน

ที่มา : หนังสือพิมพ์ แนวหน้า วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

 






Powered by Allweb Technology.