
“พาณิชย์” เพิ่มมาตรการดันราคาข้าวโพด-มันสำปะหลัง ดึงผู้ใช้ซื้อตรงกับเกษตรกร
“พาณิชย์” เพิ่มมาตรการดูแลข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังปี 2560/61 เตรียมใช้โมเดล 3 ประสาน ดึงผู้ซื้อรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกร นำร่องที่โคราช ก่อนขยายไปจังหวัดอื่น ส่วนมันสำปะหลัง ดึงโรงงานเอทานอลรับซื้อมันเส้นสะอาด มั่นใจช่วยเกษตรกรขายได้ราคาดีขึ้น และป้องกันปัญหาราคาตกต่ำ
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ฤดูการผลิตปี 2560/61 ที่จะเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ โดยกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อทำให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ในราคาที่เป็นธรรม และรักษาเสถียรภาพราคา ไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำ โดยมีแผนที่จะทำการเชื่อมโยงตลาดให้กับเกษตรกรผ่านการหาตลาดรองรับผลผลิตให้เป็นการล่วงหน้ากับสินค้าทั้ง 2 รายการ
โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ใช้โมเดล 3 ประสาน ระหว่างเกษตรกร ผู้รวบรวม (พ่อค้าคนกลาง) และโรงงานอาหารสัตว์ โดยเร็วๆ นี้จะจัดให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมล็ดแห้ง เบอร์ 2 ความชื้น 14.5% กิโลกรัม (กก.) ละ 8 บาท ระหว่าง หจก.ตรงพานิช กับสหกรณ์การเกษตรนิคมลำตะคอง ปริมาณ 10,000 ตัน และสหกรณ์การเกษตรปากช่อง 5,000 ตัน รวม 15,000 ตัน และจะใช้โมเดลนี้ในจังหวัดอื่นๆ ที่มีโรงงานอาหารสัตว์ต่อไป
ขณะเดียวกัน จะส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คุณภาพดี ที่ความชื้นไม่เกิน 14.5% โดยเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วควรตากให้แห้ง และทยอยนำออกมาขายเพื่อให้ขายได้ที่ กก.ละไม่ต่ำกว่า 8 บาท และยังมีแผนผลักดันส่งออกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เช่น ฟิลิปปินส์ ที่เป็นลูกค้าเก่า และศรีลังกา ซึ่งเป็นตลาดใหม่
นางอภิรดีกล่าวว่า สำหรับมันสำปะหลัง ได้ทำการเชื่อมโยงตลาดล่วงหน้าให้กับกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตมันเส้นสะอาดกับโรงงานเอทานอล เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้มันสดในประเทศ โดยในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ บริษัท ทรัพย์ทิพย์ เอทานอล จำกัด จะลงนามใน MOU เพื่อรับซื้อมันสดจากสหกรณ์การเกษตรด่านขุนทดปีละ 10,000 ตัน และสหกรณ์การเกษตรเทพารักษ์ ปีละ 10,000 ตัน รวมทั้งจะเชื่อมโยงตลาดกับกลุ่มปศุสัตว์ เช่น โคเนื้อ โคนม และส่งเสริมการปลูกมันออร์แกนิกรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น รวมถึงส่งเสริมการแปรรูปมันเป็นสินค้าอื่นๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เช่น อาหารเด็ก อาหารผู้สูงวัย เป็นต้น
นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย และสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้กำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน เพื่อไม่ให้ส่งออกมันเส้นในราคาต่ำเกินจริงหรือไม่ขายตัดราคากันเอง เพราะจะทำให้เกษตรกรเดือดร้อน จากการถูกกดราคารับซื้อหัวมันสด และยังทำให้ราคาหัวมันตกต่ำ รวมถึงต้องมีมาตรการลงโทษสำหรับคนทำผิดด้วย
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 16 สิงหาคม 2560
วช.สนองนโยบายรัฐบาล พัฒนาเครื่องสับมันสำปะหลังสำหรับเกษตรกรรายย่อย
จากนโยบายของรัฐบาลข้อ ๘ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม ด้วยการสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาของประเทศเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันและมีความก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศอื่นที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกัน และจัดระบบบริหารงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรมให้มีเอกภาพและประสิทธิภาพโดยให้มีความเชื่อมโยงกับภาคเอกชน เร่งสร้างสังคมนวัตกรรม และปฏิรูประบบการให้สิ่งจูงใจต่อการนำงานวิจัยและพัฒนาไปต่อยอดหรือใช้ประโยชน์ได้จริง
ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ในการวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้จัดสรรงบประมาณการวิจัยให้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ในการบริหารจัดการสนับสนุนการทำวิจัย ตามแผนงานวิจัยมุ่งเป้า เพื่อตอบสนองความต้องการพัฒนาประเทศโดยเร่งด่วน : กลุ่มเรื่องมันสำปะหลัง ตั้งแต่งบประมาณ ๒๕๕๕ ซึ่งได้สนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่โครงการวิจัย เรื่อง “การพัฒนาเครื่องสับมันปะหลังสำหรับเกษตรกรรายย่อย” ของ นายจรูญศักดิ์ สมพงศ์ และคณะ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ในการพัฒนาเครื่องสับมันสำปะหลัง เนื่องจากกระบวนการผลิตมันเส้นที่สะอาดจะต้องตัดเหง้าและทำความสะอาด และลดความชื้นโดยการตากแดด การลดขนาดของหัวมันเกษตรกรนิยมใช้มีดสับมันเสี่ยงต่ออันตราย และหากใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ชิ้นมันที่ได้จะใหญ่และตากไม่แห้ง เสี่ยงต่อการเกิดเชื้อรา นอกจากนี้เครื่องสับมันและเครื่องทำความสะอาดไม่ได้ทำงานต่อเนื่องในชุดเดียวกันทำให้เพิ่มขั้นตอนในการทำงานและค่าใช้จ่าย จึงไม่เหมาะกับเกษตรกรรายย่อย ดังนั้นการพัฒนาเครื่องสับมันสำปะหลังนี้จึงเป็นการพัฒนาเครื่องสับหัวมันสำปะหลังที่ประกอบด้วย ๒ ส่วนหลัก คือ ชุดทำความสะอาด และชุดสับหัวมันสำปะหลัง เพื่อลดขั้นตอนการทำงาน และอันตราย รวมถึงลดค่าใช้จ่าย และการเสียหายของผลผลิต ด้วยเครื่องขนาดเล็ก ดูแลรักษาง่าย สามารถขนย้ายและติดตั้งได้สะดวกและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นการยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้เหมาะสมกับเกษตรกรรายย่อยของไทยได้ดีขึ้น
ผู้วิจัยได้พัฒนาเครื่องทำความสะอาดมันสำปะหลัง ทรงกระบอกมีรูขนาด ๑ นิ้ว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของตะแกรง ๐.๗๕๙ เมตร ยาว ๒.๕๐ เมตร ซึ่งสามารถป้อนมันสำปะหลังเข้าไปในตะแกรงที่มีปริมาตร ๔๐% ของปริมาตรตะแกรง และหมุนความเร็วรอบ ๑๕ รอบต่อนาที ประมาณ ๑๐ นาที โดยใช้ต้นกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด ๑/๒ แรงม้า ความเร็วรอบ ๑,๔๕๐ รอบต่อนาที สามารถทำความสะอาดมันสำปะหลังด้วยอัตรา ๑,๐๔๕ กิโลกรัมต่อชั่วโมง หรือ ๘,๓๖๒ ตันต่อวัน ในส่วนของเครื่องสับมันสำปะหลัง จะป้อนมันสำปะหลังเข้าทางบนของตัวเครื่อง หัวมันสำปะหลังจะปะทะเข้ากับจานรูปทรงกรวยแบน เพื่อกระจายสู่ช่องป้อน ๔ ช่องแต่ละช่องจะทำมุม ๗๕ องศากับแนวระดับ และจากการทดสอบการตัดหัวมันด้วยหลักการของเพนดูลัม พบว่า มุมของใบมีดที่เหมาะสม คือ ๓๐ องศา มาการตัดที่เหมาะสม คือ ๗๕ องศา และความเร็วของใบมีดที่เหมาะสม คือ ๔.๓๔ m/s ซึ่งหัวมันสำปะหลังจะถูกตัดภายในช่องป้อนที่ระยะ ๓๐ เซนติเมตร จากจุดหมุนใบมีดสับ ทำให้ตัดด้วยพลังงานต่ำสุด โดยเครื่องสับมันสำปะหลังใช้ต้นกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด ๒ แรงม้า ความเร็วรอบ ๑,๔๕๐ รอบต่อนาที การทำงานของเครื่องสามารถสับมันด้วยอัตรา ๑,๓๑๐ กิโลกรัมต่อชั่วโมง หรือ ๑๐,๔๗ ตันต่อวัน ที่ความหนาชิ้นมันประมาณ ๑๐.๔ มิลลิเมตร การพัฒนาเครื่องสับมันสำปะหลังสำหรับเกษตรกรรายย่อยที่พัฒนาแล้วนี้ เหมาะสำหรับเกษตรกรรายย่อยที่จะช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน แรงงาน เวลา และค่าใช้จ่าย และที่สำคัญจะช่วยรักษาความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินให้กับเกษตรกรผู้ใช้ที่จะต้องไปเสี่ยงกับการใช้เครื่องสับมันสำปะหลังขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา : สยามโฟกัสไทม์ 10 ส.ค. 2560
คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ลุยแก้ปัญหาข้าวโพด-มันสำปะหลัง-ปาล์มน้ำมัน
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ที่ประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร 3 ชนิดคือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ที่ประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร 3 ชนิดคือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน
โดยในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ประชุมจะออกประกาศให้พ่อค้าคนกลางที่รับซื้อ ครอบครองข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่ 50 ตันขึ้นไป ต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้รับทราบถึงการเชื่อมโยงของสินค้าทั้งระบบหากไม่ทำตามจะถูกปรับไม่เกิน 20,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี และหากแจ้งขึ้นทะเบียนล่าช้าก็ถูกปรับวันละ 2,000 บาท นอกจากนี้ ภายในสัปดาห์นี้กระทรวงก็จะเรียกผู้ผลิตอาหารสัตว์มาหารือเพื่อขอความร่วมมือในการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และจุดรับซื้อ เพื่อรองรับผลผลิตที่จะออกมาในช่วงปลายเดือนส.ค.นี้ โดยคาดว่าผลผลิตทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 4.5 ล้านตัน
ส่วนมันสำปะหลังที่ประชุม ให้ขึ้นทะเบียนพ่อค้าคนกลางที่รับซื้อหรือมีมันเส้นครอบครอง 15 ตัน หรือมันสด 45 ตัน ต้องขึ้นทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ เช่นกันเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาราคาและผลผลิตทั้งระบบมีการเชื่อมต่อถึงภาคปศุสัตว์
ขณะที่ปาล์มน้ำมันคณะกรรมการก็มีกำหนดให้มีการรับซื้อทะลายปาล์มสดที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18% ขึ้นไป หากมีเปอร์เซ็นต์ที่มากน้อยกว่านี้ก็ให้บวกลบไปเปอร์เซ็นต์ละ 30 สตางค์ และให้ผู้ประกอบการผู้รับซื้อขายแสดงป้ายราคารับซื้อที่ชัดเจน และห้ามแสดงราคาปาล์มร่วง หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับเกิน 1 แสนบาท
เนื่องจากการหากมีการแสดงราคารับซื้อลูกปาล์มร่วงก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรผลิตปาล์มน้ำมันที่ไม่ได้คุณภาพออกมาขาย และมีเปอร์เซ็นต์น้ำมันต่ำ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของน้ำมันปาล์มของไทยในภาพรวมโดยเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่เพิ่มขึ้นเพียง 1% มีมูลค่าสูงกว่า 10,000 ล้านบาท หากเกษตรกรสามารถผลิตปาล์มคุณภาพสูงขึ้นก็จะส่งผลดีต่อเกษตรกรเอง และก็เป็นการดำเนินการตามประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซียซึ่งทั้งสองประเทศเป็นผู้ผลิตปาล์มน้ำมันรายใหญ่ที่มีคุณภาพของโลก
ที่มา : ข่าวสด ออนไลน์ 7 ส.ค. 2560
“นันทวัลย์” ลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ติดตามโครงการเพาะปลูกมันสำปะหลังแปลงใหญ่
“นันทวัลย์” ลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ติดตามความคืบหน้าการผลักดันให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังรวมตัวเพาะปลูกมันสำปะหลังแปลงใหญ่เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ พร้อมเข้าเยี่ยมชมการผลิตสินค้าแปรรูปจากข้าวของกลุ่มสตรีอาสาพัฒนาเกษตรทุ่งสมอ
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2560 ที่ผ่านมากรมฯ ได้ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเพื่อติดตามงานการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และการดูแลเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ตามนโยบายรัฐบาลและนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่กำชับให้ผู้บริหารลงพื้นที่ทำงานใกล้ชิดประชาชน เพื่อรับทราบปัญหาและหาแนวทางแก้ไข
โดยในการติดตามความคืบหน้าโครงการมันสำปะหลังแปลงใหญ่ ได้พบปะกับเกษตรกรแปลงมันสำปะหลังในระบบเกษตรแปลงใหญ่ ที่ ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี โดยเป็นการไปติดตามความคืบหน้านโยบายการส่งเสริมให้เกษตรกรรวมตัวกันเพาะปลูกมันสำปะหลังแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุน และมีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะรัฐจะเข้าไปช่วยเหลือด้านต้นทุนการผลิต และจัดหาตลาดรองรับให้ ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนลดลง และขายผลผลิตได้ราคาดีขึ้น ซึ่งกรมฯ ได้ทำการเชื่อมโยงผลผลิตของเกษตรกรกับโรงแป้ง เพื่อให้เข้ามารับซื้อผลผลิตตลอดทั้งฤดูกาลแล้ว
ทั้งนี้ ปัจจุบันเกษตรกรกลุ่มนี้ มีสมาชิก 83 ราย พื้นที่เพาะปลูก 1,150 ไร่ คาดว่าจะมีผลผลิตมันสำปะหลังรวม 5,750 ตัน/ปี และมีเป้าหมายงาน คือ เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ลดต้นทุนการผลิตจาก 4,500 บาท/ไร่ เป็น 3,600 บาท/ไร่ ในฤดูการผลิตปี 2560
นางนันทวัลย์กล่าวว่า กรมฯ ยังได้เยี่ยมชมการผลิตสินค้าแปรรูปจากข้าวของกลุ่มสตรีอาสาพัฒนาเกษตรทุ่งสมอ ต.ทุ่งสมอ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้า หลังจากที่กรมฯ ได้เข้าไปส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรรวมตัวกันในการเพาะปลูก ผลิต และจำหน่ายให้กันเองภายในกลุ่ม และขยายสู่นอกกลุ่ม เพื่อสร้างรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ซึ่งปัจจุบันกลุ่มฯ ได้มีการรวมตัวกันจัดตั้งโรงสีชุมชนเพื่อผลิตข้าวกล้องหอมมะลิ ข้าวมันปู ข้าวหอมนิลออกจำหน่ายภายใต้ชื่อ “ทุ่งสมอ” เพื่อนำออกจำหน่าย โดยใช้ข้าวจากสมาชิกมาทำ และรับซื้อในราคาที่สูงกว่าปกติ ทำให้สมาชิกมีรายได้สูงขึ้น
ที่มา : Manager Online 6 ส.ค. 2560
ต้อนพ่อค้าขึ้นทะเบียนแก้เกินราคา...
พาณิชย์ขึ้นทะเบียนพ่อค้าคนกลางสินค้าเกษตร 3 รายการ สั่งแจ้งราคา ปริมาณและสถานที่เก็บ บังคับใช้ต้น ส.ค.นี้
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการค้าสินค้าเกษตร 3 รายการทั่วประเทศ คือ มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพ่อค้าคนกลางรับซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกร ทั้งผู้รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลานมันสำปะหลัง และลานเทปาล์มน้ำมัน ที่ปัจจุบันมีอยู่รวมกันหลายพันรายทั่วประเทศ โดยการกำหนดให้ขึ้นทะเบียนดังกล่าว จะออก เป็นประกาศสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) คาดว่าจะออกประกาศได้เดือน ส.ค.นี้และมีผลบังคับใช้ ทันที
ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียนดังกล่าว จะกำหนดให้ผู้ประกอบการค้าสินค้าเกษตรทั้ง 3 รายการ ต้องแจ้งชื่อ ที่อยู่ สถานที่เก็บสินค้า ปริมาณที่เก็บ ราคารับซื้อ ผู้รับซื้อสินค้าเกษตร ฯลฯ เพื่อให้สามารถกำกับดูแลราคาสินค้าเกษตรกรได้ทั้งระบบจากปัจจุบันจะกำกับดูแลได้เฉพาะราคาต้นทางและปลายทางเท่านั้น
"ที่ผ่านมากรมจะรู้แค่ราคาที่เกษตรกรขายได้ และราคารับซื้อหน้าโรงงานเท่านั้น แต่ไม่รู้ราคาตรงกลางที่พ่อค้าคนกลาง รับซื้อจากเกษตรกรแล้วไปส่งต่อให้โรงงานว่าเท่าไหร่ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่กระทรวงขอความร่วมมือให้โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ กก.ละ 8 บาท แต่ทำไมเกษตรกรบางรายขายให้พ่อค้าคนกลางแค่ กก.ละ 3 บาท ราคาตรงท่อนกลางหายไปไหน ถ้ากำหนดให้ต้องแจ้งราคารับซื้อด้วยแล้วจะทำให้ทราบว่าผู้ค้ารับซื้อเท่าไร หากราคาไม่เป็นธรรม หรือต่ำเกินไปจนเกิดสถานการณ์ราคาปั่นป่วน ก็มีมาตรการดำเนินการกับผู้ค้ารายนั้น" นางนันทวัลย์ กล่าว
นางนันทวัลย์ กล่าวว่า หาก ผู้ประกอบการค้ารายใดไม่มาขึ้นทะเบียนกับกรมจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและ บริการ พ.ศ. 2542 โดยมีโทษปรับ ไม่เกิน 2 หมื่นบาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากแจ้งขึ้นทะเบียนช้าจะมีโทษเป็นรายวัน วันละ 2,000 บาท
สำหรับมาตรการกำหนดสัดส่วนให้ผู้นำเข้าข้าวสาลีต้องซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศในอัตรา 1:3 ที่ใช้มาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพื่อดูแลราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่ให้ตกต่ำจากการนำเข้าข้าวสาลีนั้น ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังศึกษาการปรับขึ้นภาษีนำเข้าข้าวสาลีโดยให้ศึกษาว่าจะปรับขึ้นอัตราเท่าไรจึงจะเหมาะสม โดยมองว่าการขึ้นภาษีนำเข้าจะบริหารจัดการการนำเข้าได้ง่ายกว่าและผู้ส่งออกสินค้าปศุสัตว์ ก็สามารถขอคืนภาษีได้ด้วย" นางนันทวัลย์ กล่าว
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 20 กรกฎาคม 2560