
ทั้ง 4 สมาคมแป้งมันสำปะหลัง พร้อมหน่วยงานภาครัฐเตรียมแถลงข้อมูลการผลิตและผลกระทบจากโรคใบด่าง
https://www.youtube.com/watch?v=2R-GbHWaNDY
ทั้ง 4 สมาคมแป้งมันสำปะหลัง พร้อมหน่วยงานภาครัฐเตรียมแถลงข้อมูลการผลิตและผลกระทบจากโรคใบด่าง นี่กำลังเป็นปัญหาที่กระทบต่ออุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง ที่มีมูลค่าการส่งออกปีละกว่า 1 แสนล้านบาท จับตารอบทิศวิเคราะห์ปัญหานี้จากข้อมูลของหลายภาคส่วน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม #ThaiPBSEsan#จับตารอบทิศ#ใบด่างมันสำปะหลัง#โรงงานแป้งมันสำปะหลัง#อุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง#ส่งออกแป้งมัน
“โรคใบด่าง” มันสำปะหลัง ระบาดหนัก 3 ล้านไร่
แม้ว่าปีนี้จะเป็นปีทองของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง เพราะขายได้ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 4 บาท เกษตรกรหันมาปลูกกันมากขึ้น แต่ตอนนี้กลับเจอปัญหาสำคัญคือ โรคใบด่างมันสำปะหลัง ทำให้ผลผลิตเสียหาย
ล่าสุด ข้อมูลจากทั้ง 4 สมาคมมันสำปะหลัง ออกมาโต้แย้งข้อมูลของภาครัฐว่า มีการระบาดรุนแรงกว่า ที่กรมส่งเสริมการเกษตรรายงาน และขอให้เร่งแก้ปัญหาที่จะกระทบทั้งต่อภาคอุตสาหกรรม การส่งออก และที่สำคัญคือ เกษตรกรกว่า 7 แสนครัวเรือน
วันนี้ (21 ส.ค.2566) นายบุญชัย ศรีชัยยงพานิช ประธานคณะสำรวจติดตามภาวะการผลิตมันสำปะหลังฤดูการผลิตปี 2566/67 ของ 4 สมาคม คือ สมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย และ สมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งข้อสังเกตข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร (9 ส.ค.2566) เปิดเผยสถานการณ์ล่าสุดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง พบพื้นที่การระบาด 20 จังหวัด พื้นที่กว่า 61,000 ไร่

แต่ข้อมูลของคณะสำรวจติดตามภาวะการผลิตมันสำปะหลังฤดูการผลิตปี 2566-2567 จาก 4 สมาคม คาดการณ์ว่า มีพื้นที่ระบาดมากกว่านี้หลายเท่า
ข้อมูลของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช.ได้ประเมินการระบาดโรคใบด่างในปี 2566 ว่า มีพื้นที่แพร่ระบาด 3 ล้านกว่าไร่ มูลค่าความเสียหายกว่า 11,000 ล้านบาท
ทั้ง 4 สมาคม มันสำปะหลัง คาดว่า ผลผลิตในฤดูใหม่ที่จะถึงนี้มีเพียงประมาณ 20 กว่าล้านตัน เท่านั้นจากที่เคยปลูกได้ 30 กว่าล้านตัน ในขณะที่ความต้องการของตลาดมีสูงกว่า 40 ล้านตัน กระทบต่ออุตสาหกรรมแป้งมัน และการส่งออก โดยในปี 2565 มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 170,000 ล้านบาท ประเทศไทยอาจสูญเสียรายได้เข้าประเทศหลายล้านบาท
นายบุญชัยระบุว่า ทางสมาคมฯ ได้เรียกร้องให้กรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งได้รับรางวัลเลิศรัฐปี 2565 จากการแก้วิกฤติโรคใบด่างมันสำปะหลัง และตั้งข้อสังเกตว่า การรายงานตัวเลขพื้นที่การระบาดที่น้อยกว่าความเป็นจริง อาจเป็นเงื่อนไขให้ได้รับรางวัล และขอให้เร่งตรวจสอบข้อมูลการระบาดที่แท้จริงในปีนี้ เพื่อแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
ก่อนที่จะส่งผลกระทบทั้งต่อภาคอุตสาหกรรม การส่งออก และที่สำคัญคือ เกษตรกรกว่า 7 แสนครัวเรือนที่มีอาชีพปลูกมันสำปะหลัง ก็มีความหวังว่าจะขายมันในช่วงที่ราคาดี

นายบุญชัยกล่าวต่อว่า โรคใบด่างมันสำปะหลัง เป็นโรคอุบัติใหม่ในประเทศไทย พบครั้งแรก ในเดือนส.ค.2561 เริ่มระบาดเข้าไทยจากชายแดนเพื่อนบ้าน จนถึงปัจจุบันก็ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ และระบาดไปทั่วประเทศแล้วแพร่ระบาดโดยท่อนพันธุ์ที่มีโรค และแมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นพาหะ ไม่มียารักษา ผลผลิตหัวมันสดที่ลดลง ร้อยละ 40-80 และยังไม่มีพันธุ์ต้านทานที่เหมาะสม
ด้านกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับกรมการปกครอง สำรวจโรคใบด่างในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 54 จังหวัด พร้อมขอให้เกษตรกรทำลายต้นมันที่เป็นโรคใบด่าง ส่วนพื้นที่ที่พบการระบาดรุนแรง เกษตรกรควรเว้นช่วงการปลูกมันสำปะหลัง 1 ฤดูการปลูก เพื่อหยุดวงจรการระบาด โดยเปลี่ยนไปปลูกพืชไร่อื่นที่เหมาะสม

นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า จากการรายงานสถานการณ์การระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังที่มีแนวโน้มกลับมาระบาดอีกครั้ง ได้สั่งการให้สำนักงานเกษตรจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง เร่งดำเนินการควบคุมการระบาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งประสานขอความร่วมมือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และกรรมการหมู่บ้าน เร่งสำรวจพื้นที่ระบาดโรคใบด่างมันสำปะหลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร เพื่อทราบสถานการณ์การระบาด
เตรียมแนวทางคัดเลือกแหล่งพันธุ์สะอาด เพื่อใช้สำหรับฤดูการปลูกถัดไป โดยอาจคัดเลือกจากพื้นที่ปลูกที่ยังไม่มีรายงานการระบาดในโซนภาคเหนือ หรือในแปลงใหญ่มันสำปะหลังเป็นหลัก และจัดทำคู่มือบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง และจัดประชุมสร้างความเข้าใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน
สำหรับพื้นที่ที่พบการระบาดรุนแรง เกษตรกรควรเว้นช่วงการปลูกมันสำปะหลัง 1 ฤดูการปลูก เพื่อหยุดวงจรการระบาด โดยเปลี่ยนไปปลูกพืชไร่อื่นที่เหมาะสมกับพื้นที่และสถานการณ์การผลิต

เจ้าหน้าที่จะส่งเสริมการใช้พันธุ์สะอาดและทนทานต่อโรคใบด่าง ได้แก่ ระยอง 72 เกษตรศาสตร์ 50 และห้วยบง 60 งดใช้พันธุ์อ่อนแอ ได้แก่ พันธุ์ CMR 43-08-89 และพันธุ์ระยอง 11 และจะ ชการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรที่ได้รับความเดือดร้อนจากโรคใบด่างมันสำปะหลังตามระเบียบกระทรวงการคลัง และระเบียบที่เกี่ยวข้อง
หากเกษตรกรพบต้นมันสำปะหลังมีอาการของโรคใบด่างให้เร่งทำลายต้นเป็นโรคก่อนที่แมลงหวี่ขาวยาสูบ จะนำไปแพร่ยังต้นอื่น ๆ ต่อ ด้วยการบดสับต้นเป็นโรคใส่ถุงดำมัดปากให้แน่นแล้วนำไปตากแดดจนกว่าต้นมันสำปะหลังจะตาย หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ทราบทันที
ที่มา : https://www.thaipbs.or.th/news/content/330852
“จุรินทร์”เป็นประธานลงนาม MOU ซื้อขายมันกับฮ่องกง ตุรกี จีน มูลค่าเกือบ 2 หมื่นล้าน
“จุรินทร์”เปิดงานประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลกปี 66 โชว์วิสัยทัศน์ดันไทยเป็นคลังมันสำปะหลังป้อนตลาดโลก พร้อมจัดจับคู่ลงนาม MOU ซื้อขายมันสำปะหลังกับฮ่องกง ตุรกี จีน ปริมาณเกือบ 5 ล้านตันหัวมันสด มูลค่าเกือบ 2 หมื่นล้านบาท หลังทำสำเร็จขายให้ฟิลิปปินส์ไปก่อนหน้านี้ 2 หมื่นล้านบาท
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเป็นประธานเปิดงานประชุมสัมมนามันสําปะหลังโลกปี 2566 (World Tapioca Conference 2023) และปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “นโยบายการบริหารจัดการมันสําปะหลังของไทย” ที่มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีสุรนารี ว่า จังหวัดนครราชสีมา ถือเป็นเมืองหลวงของมันสำปะหลัง เพาะปลูกและแปรรูปมากที่สุดในประเทศไทย งานนี้มี 5 กิจกรรม ได้แก่ 1.สัมมนาเชิงวิชาการ 2.แลกเปลี่ยนข้อมูลประสบการณ์ด้านการค้ามันสำปะหลัง 3.นิทรรศการมันสำปะหลัง 4.การจับคู่เจรจาธุรกิจ และ 5.การลงนาม MOU ซื้อขายมันสำปะหลังไทยกับต่างประเทศ
ทั้งนี้ ในการลงนาม MOU ซื้อขายมันสำปะหลังนั้น ได้ลงนามกับ 3 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ตุรกี และจีน คิดเป็นปริมาณมันสำปะหลังสดเกือบ 5 ล้านตัน มูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาท ถือเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี ที่กระทรวงพาณิชย์ เอกชน ผู้เกี่ยวข้อง และกระทรวงพาณิชย์นำผู้ซื้อจากต่างประเทศมาซื้อมันสำปะหลังไทยล็อตใหญ่ จากก่อนหน้านี้ ได้พาฟิลิปปินส์มาซื้อประมาณ 5 ล้านตันหัวมันสด มูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท ที่ อ.ปากช่อง โดยปีนี้ขายล่วงหน้าหัวมันสำปะหลังสดได้แล้ว 10 ล้านตัน สร้างเงินให้ประเทศไทยร่วม 40,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ราคามันสำปะหลังปีนี้ดีขึ้น มีช่องทางระบายไปตลาดต่างประเทศ เกิดผลดีกับเกษตรกร
นายจุรินทร์กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับมันสำปะหลังเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นพืชเกษตรที่ปลูกมากเป็นลำดับที่ 3 ของโลก ประเทศไนจีเรียผลิตประมาณปีละ 63 ล้านตัน คองโกประมาณปีละ 46 ล้านตัน และไทยปีละ 30 ล้านตัน มีเกษตรกร กว่า 500,000 ครัวเรือนทำไร่มันสำปะหลัง และการส่งออกมันสำปะหลัง ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ส่งออกลำดับหนึ่งของโลก ปี 2565 ส่งออกหัวมันสด 37 ล้านตัน ทำเงินให้ประเทศ 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 150,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%
“ที่ผ่านมารัฐบาล กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผม ได้กำหนดยุทธศาสตร์มันสำปะหลังไทย 5 ปี ตั้งแต่ปี 2564-67 ทั้งการผลิต การตลาด และการแปรรูป เพื่อกำหนดทิศทางที่ชัดเจน พามันสำปะหลังไทยก้าวหน้าในเวทีโลก ด้านการผลิต มีการวิจัยพัฒนา สร้างท่อนพันธุ์ที่มีศักยภาพ ต้านทานโรคใบด่าง ตั้งเป้าผลผลิตไม่น้อยกว่า 5 ตันต่อไร่ ภายในปี 2567 และจะเพิ่มผลผลิตต่อปี จาก 30 ล้านตันเป็น 40 ล้านตัน สนองความต้องการของโลก ด้านการแปรรูป มุ่งเน้นทั้งมันเส้น แป้งมัน สาคู ในอนาคตจะเพิ่มอีกหลายชนิดที่มีศักยภาพและมั่นใจจะครองตลาดโลกมากขึ้น เช่น ไบโอพลาสติก อาหาร เครื่องดื่ม กาว กระดาษ แป้งมันปลอดกลูเตน ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับโลก ด้านการตลาดจะจับมือกับเอกชนเปิดตลาดใหม่ เช่น ฟิลิปปินส์ ที่สำเร็จแล้ว และตุรกี นิวซีแลนด์ นอกจากจีนที่เป็นตลาดหลัก”นายจุรินทร์กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายเร่งรัดยกระดับราคามันสำปะหลัง ถือเป็นยุคหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง อดีตกิโลกรัมละบาทกว่า ยุคนี้ ราคาพุ่งต่อเนื่อง 2 ปีเต็ม วันนี้ราคามันสำปะหลังที่เชื้อแป้ง 25% อยู่ที่ 3.15-3.50 บาท/กิโลกรัม (กก.) แต่ถ้าวันไหนราคาตกต่ำกว่ากิโลกรัมละ 2.50 บาท มีประกันรายได้เกษตรกร จ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกร โอนเงินส่วนต่างเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ตามรายได้ที่ให้หลักประกันกับเกษตรกรผู้ปลูก เพื่อมีรายได้พอยังชีพ ไม่เลิกการปลูกมันสำปะหลัง และให้ประเทศไทยเป็นคลังมันสำปะหลังป้อนโลกต่อไปในอนาคต
สำหรับการประชุมครั้งนี้ จะเป็นเวทีสำคัญให้ทุกประเทศที่ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ประสบการณ์กำหนดทิศทางอนาคตมันสำปะหลังไทยและโลกต่อไปในอนาคต โดยประเทศไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกประเทศในโลกเกี่ยวกับการผลิต การแปรรูป และการตลาดมันสำปะหลัง เพราะประเทศไทยมีนโยบาย ทิศทางชัดเจน ในการผลิตมันสำปะหลังคุณภาพและได้มาตรฐานป้อนตลาดโลก และสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมโลกต่อไป
การจัดงานในครั้งนี้ มีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ สมาคมชาวไร่มันสําปะหลังแห่งประเทศไทย สมาคมการค้ามันสําปะหลังไทย (TTTA) สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังไทย (TTPFA) สมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสําปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NETTA) และผู้แทนภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม
ที่มา : CNN 24 ก.พ. 2566 https://www.commercenewsagency.com/news/5769
“พาณิชย์”ตั้งเป้าส่งออกข้าวปี 66 ปริมาณ 7.5 ล้านตัน มันสำปะหลัง 9 ล้านตัน
กรมการค้าต่างประเทศถกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และ 4 สมาคมมันสำปะหลัง ตั้งเป้าส่งออกข้าวปี 66 ปริมาณ 7.5 ล้านตัน และมันสำปะหลัง 9 ล้านตัน หลังปี 65 ส่งออกข้าวทะลุเป้า 7.69 ล้านตัน กลับขึ้นเป็นเบอร์ 2 โลก และมันสำปะหลัง 11.18 ล้านตัน ยังครองแชมป์ แต่มูลค่าทำสถิติสูงสุดในรอบ 15 ปี เผยมีแผนลุยขยายตลาดข้าวและมันสำปะหลังต่อเนื่อง รวมถึงจัดงานข้าวและมันระดับนานาชาติ
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้หารือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และตั้งเป้าหมายส่งออกข้าวไทยในปี 2566 ไว้ที่ 7.5 ล้านตัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการซื้อจากต่างประเทศที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีแผนผลักดันการส่งออกข้าวของกระทรวงพาณิชย์ เช่น การจัดประชุม Thailand Rice Convention ของผู้คนในวงการค้าข้าว การจัดคณะผู้แทนการค้าภาครัฐและเอกชนเดินทางไปเยือนประเทศคู่ค้าสำคัญ และการจัดประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เวียดนาม เยอรมนี จีน ออสเตรเลีย เป็นต้น และยังคงเดินหน้ารักษาตลาดเดิม และหาตลาดใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้การส่งออกข้าวไทย ยังเติบโตได้ดี แต่ต้องระวังค่าเงินบาทที่ยังผันผวน และมีแนวโมแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง อาจทำให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่ง
ส่วนปี 2565 ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 7.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 22.06% สูงเกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 3,971 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 14.67% หรือ 138,451 ล้านบาท เพิ่ม 26.13% โดยไทยเป็นอันดับ 2 ประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก รองจากอินเดีย ที่ส่งออกได้ 21.93 ล้านตัน ส่วนเวียดนาม อันดับ 3 ที่ 6.31 ล้านตัน ส่วนประเทศที่ไทยส่งออกมากที่สุด อันดับ 1 ได้แก่ อิรัก ที่ 1.6 ล้านตัน เพิ่ม 458% หลังจากที่อิรักกลับมานำเข้าข้าวจากไทยอีกครั้งจากที่ไม่ได้นำเข้าปริมาณมากมาหลายปี รองลงมา คือ แอฟริกาใต้ 775,000 ตัน ลด 2.26% จีน 750,000 ตัน เพิ่ม 18.8% สหรัฐฯ 650,000 ตัน เพิ่ม 13.21% และเบนิน 321,000 ตัน ลด 15.38%
นายรณรงค์กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในปี 2566 กรมฯ ได้หารือร่วมกับ 4 สมาคมที่เกี่ยวข้องกับมันสำปะหลัง ได้แก่ สมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย และสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งเป้าส่งออกไว้ที่ 9 ล้านตัน ลดลงจากปี 2565 ที่ส่งออกได้ 11.18 ล้านตัน ยังคงเป็นแชมป์ส่งออก โดยมีมูลค่า 4,408 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดในรอบ 15 ปี
ทั้งนี้ ปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังปี 2566 จะลดลงเหลือ 31.7 ล้านตัน จากคาดการณ์เดิม 34.98 ล้านตัน เนื่องจากผลผลิตเสียหายจากน้ำท่วม โรคใบด่าง และภัยแล้ง แต่เชื่อว่าราคาจะยังคงดีขึ้น เพราะผู้ซื้อยังแย่งกันซื้อ เช่น ตุรกี ฟิลิปปินส์ ที่ขอซื้อเข้ามาต่อเนื่อง และยังมีแผนเจาะตลาดเป้าหมาย ทั้งจีน สหภาพยุโรป (อียู) ตุรกี นิวซีแลนด์ อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และซาอุดิอาระเบีย รวมทั้งจัดงานมันสำปะหลังโลก (World Tapioca Conference 2023) ต้นเดือนมี.ค.2566 เพื่อโปรโมตมันสำปะหลังไทย และเป็นเวทีพบปะคนในวงการมันสำปะหลังจากทั่วโลก
“ตอนนี้ ราคาหัวมันสดอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 3.25 บาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีราคา กก. ละ 2.70 บาท และคาดว่า ราคาจะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง เพราะความต้องการซื้อยังเข้ามาต่อเนื่อง แต่ไม่มีของจะขาย จึงอยากขอให้เกษตรกร อย่าเร่งขุดหัวมันที่ไม่ได้คุณภาพออกขาย เพราะอาจถูกกดราคารับซื้อ และไม่ควรเร่งตัดมันท่อนอ่อน เพื่อนำไปทำพันธุ์เพาะปลูก เพราะจะทำให้ได้มันไม่ได้คุณภาพ และในส่วนของกรมฯ จะเดินหน้าควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังต่อไป ทั้งการส่งออกและนำเข้า”นายรณรงค์กล่าว
ที่มา : CNN 31 ม.ค. 2566 https://www.commercenewsagency.com/news/5704
“ธีระ เอื้ออภิธร” ส่งออกมันไปจีนผลิตอาหารสัตว์รุ่ง
หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2562 ส่งผลให้ความต้องการมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการใช้เพื่อผลิตแอลกอฮอล์ ซึ่งมีความต้องการมากขึ้น สำหรับตลาดส่งออกมันสำปะหลังหลักของไทยยังเป็นตลาดจีน กว่า 90% และด้วยเหตุที่ผลผลิตในประเทศไทยยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้
จึงทำให้ราคามันสำปะหลังเป็นพืชที่มีราคาสูงเกินกว่าราคาประกัน จนรัฐบาลไม่ต้องจ่ายชดเชยโครงการประกันรายได้ ส่วนแนวโน้มการส่งออกปี 2566 “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายธีระ เอื้ออภิธร นายกสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตลาดส่งออกมันในจีน
ตลาดส่งออกหลักของมันเส้นไทยยังเป็นตลาดจีน เชื่อว่าการส่งออกปีนี้จะเท่าปีที่ผ่านมาที่ 6.5 ล้านตัน เทียบกับก่อนที่จะมีสถานการณ์โควิด-19 ไทยส่งออกมันเส้นประมาณ 4 ล้านตัน เติบโตมากขึ้น ขณะที่แป้งมันก็คาดว่าจะมีปริมาณเทียบเท่าปีที่ผ่านมาที่ 4.9 ล้านตัน
“จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้จีนมีความต้องการมันสำปะหลังเพื่อนำไปผลิตแอลกอฮอล์ จึงมีการนำเข้ามากขึ้น ก็เป็นอานิสงส์ทำให้ไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับปีที่แล้วทางเอกชนเราได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ได้เจรจาเปิดตลาดอาหารสัตว์ในจีน ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จทำให้ไทยส่งออกมันอัดเม็ดไปในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ได้ 1 ล้านตัน ปีก็น่าจะส่งออกได้ต่อเนื่อง”
แนวโน้มจีนยังมีความต้องการนำเข้ามันจากไทย ขณะนี้ราคาในส่วนแอลกอฮอล์ในจีนปัจจุบันเฉลี่ย 7,000 หยวนต่อตันจากก่อนโควิดเฉลี่ย 4,000 หยวนต่อตัน จากความต้องการมากขึ้นดันให้ราคาตลาดสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อความต้องการเพิ่ม ราคาดี ก็จะทำให้ราคามันสำปะหลังของไทยดีด้วยเช่นกัน ปีนี้ปัญหาราคามันจึงไม่น่าห่วง
รุกตลาดอาหารสัตว์
ที่สำคัญ เรายังได้เปิดเจรจาขยายตลาดส่งออกไปในตลาดอื่นเพิ่มเติม เช่น ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีความสนใจที่จะนำเข้ามันสำปะหลังจากไทย แต่ด้วยติดปัญหาผลผลิตน้อยอาจจะไม่สามารถส่งออกได้เพียงพอ ทำให้ผู้ส่งออกต้องรอดูสถานการณ์ รวมไปถึงปัญหาค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าเร็ว ตอนนี้อยู่ที่ 33 บาทกว่าต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทย
“ตลาดซาอุฯก็เป็นตลาดใหม่ที่มีความสนใจที่จะนำเข้าโดยเฉพาะทำอาหารสัตว์ เพราะเลี้ยงอูฐเยอะและต้องการสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ซึ่งสามารถหาได้จากมันสำปะหลัง ทั้งเรายังมีผลวิจัยรองรับว่ามันสำปะหลังเมื่อนำไปทำเป็นอาหารสัตว์มีประโยชน์ ลดการป่วยของสัตว์ สัตว์มีการเจริญเติบโต ซึ่งสามารถตอบโจทย์ได้ดี ที่ผ่านมาจึงทำให้ไทยเปิดตลาดอาหารสัตว์ได้”
ผลผลิตมันปี’66
สถานการณ์ผลผลิตมันสำปะหลังในปี 2565/2566 จากการติดตามคาดว่าผลผลิตจะลดลง จากที่เรามีการประเมินไปก่อนหน้านี้ประมาณ 34.9 ล้านตัน โดยจะลดลงจากนี้ 30-40% เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาฝนตกเยอะ ทำให้เกษตรกรต้องขุดออกมาขาย เพราะหากไม่ขุด โอกาสที่มันจะเน่าก็สูง เชื้อแป้งก็จะต่ำด้วย ประกอบกับช่วงนี้ราคารับซื้อดี ยิ่งทำให้เกษตรกรยิ่งเร่งขุด
แต่มันสำหลังที่ขุดมาก่อนก็เป็นมันอ่อน อายุประมาณ 6 เดือน จากอายุมันที่ควรขุดออกมาขายควรจะมีอายุ 10-12 เดือน รวมไปถึงปีนี้ผลผลิตต่อไร่ก็ต่ำด้วยจากเดิม 3.4-4.0 ตันต่อไร่ แต่ตอนนี้อยู่ที่ 2 ตันต่อไร่
“ช่วงที่ผลผลิตมันสำปะหลังจะออกสู่ตลาดมาก ๆ ในทุกปี ระหว่างเดือนธันวาคม-มีนาคม คาดว่าปีนี้ผลผลิตจะลดลง เห็นได้จากตอนนี้หน้าโรงงานจะมีมันเข้ามาประมาณ 20,000 ตันต่อวัน จากปกติแล้วช่วงที่มันออกสู่ตลาดมาก ๆ จะมีมันเข้าโรงงานประมาณ 40,000-50,000 ตันต่อวัน สำหรับหัวมันสด”
ส่วนความต้องการใช้มันสำปะหลังในตลาดต่อปีอยู่ที่ 47 ล้านตัน ซึ่งประเทศไทยผลิตไม่เพียงพอก็ต้องนำเข้าจากเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งทั้งสองประเทศนี้จะให้ผลผลิตออกช่วงเดียวกับของประเทศไทย จึงมีการนำเข้าผ่านชายแดน ส่วนใหญ่ผ่านจังหวัดอุบลฯ สุรินทร์ และศรีสะเกษ แต่นำเข้าได้ไม่กี่ด่านเพื่อการตรวจสอบคุณภาพของมันที่นำเข้าด้วย
ราคามันทะลุ 3 บาท/กก.
ราคามันสำปะหลังในปีนี้ ยังเป็นราคาที่สดใสสำหรับเกษตรกร โดยราคารับซื้อปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 3 บาทกว่าต่อกิโลกรัม ในเชื้อแป้งอยู่ที่ 25-30% หากเกษตรกรนำมันอ่อนมาขาย ราคาก็จะตกเพราะเชื้อแป้งไม่ได้ ซึ่งเชื้อแป้งจะอยู่ที่ 18-20% ส่วนต้นทุนการเพาะปลูกของเกษตรกรตอนนี้เฉลี่ยที่ 2.30-2.50 บาทต่อกิโลกรัม จากค่าแรง ค่าน้ำมัน ปุ๋ยแพงขึ้น แต่ด้วยความต้องการเพิ่มขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของงบฯโควิด-19 ทำให้ราคามันดี เกษตรกรจึงขายได้ราคา
“โครงการประกันรายได้มันสำปะหลังที่ 2.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่ราคารับซื้อดี ปีที่ผ่านมาเกินกว่าประกัน รัฐบาลไม่ได้จ่ายเงินส่วนต่างในโครงการแต่อย่างใด และเชื่อว่าราคามันปีนี้ก็ยังมีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน คาดว่าจะสดใสตลอดทั้งปี เทียบกับราคาข้าวโพดอยู่ที่ 12 บาทต่อกิโลกรัม”
วอนรัฐช่วยเหลือ
ด้านการตลาดและราคามันสำปะหลังปีนี้ เป็นปีที่สดใสและมีแนวโน้มดี ดังนั้นต้องการให้รัฐเข้ามาส่งเสริมสนับสนุนการสำรวจโรคใบด่าง เพราะมองว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข ปัจจุบันมีการสำรวจว่ามีกระจายในหลายพื้นที่ และหวั่นว่าหน้าร้อนปีนี้จะกลับมาแพร่กระจายอีกครั้ง รณรงค์การปลูกมันสะอาด ไม่เอามันที่ติดโรคมาปลูก แจกท่อนพันธุ์ ส่งเสริมงานวิจัย เพิ่มผลผลิตต่อไร่ รวมไปถึงด้านการตลาด หาตลาดใหม่ ๆ
พร้อมกันนี้ก็ติดตามและเข้มงวดในการลักลอบนำเข้ามันจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะนำเข้ามาในรูปแบบกองทัพมด ก็ต้องเข้มงวดมากขึ้น ดูแลมันที่ได้คุณภาพทั้งในประเทศ และมันที่นำเข้า ปัจจุบันหน่วยงานที่ดูแลก็ติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นผลดีต่อการส่งออกมันไทย
“เชื่อว่าปีนี้เกษตรกรขายมันได้ราคาตลอดทั้งปี การส่งออกขยายตัวจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่เพื่อที่จะให้การส่งออกดี ทุกฝ่ายต้องควบคุมดูแลคุณภาพ เพื่อการส่งออกที่เติบโต”
ที่มา :