
“จุรินทร์”เคาะเดินหน้าประกันรายได้มันปี 3 ไฟเขียวลุยยุทธศาสตร์ครั้งแรกประวัติศาสตร์
“จุรินทร์”ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) เคาะเดินหน้าโครงการประกันรายได้ปี 3 กำหนดเงื่อนไขเหมือนเดิม ประกันกิโลละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน แต่ระยะเวลาการรับสิทธิ์ของเกษตรกรจะครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้น วงเงิน 6,811 ล้านบาท พร้อมไฟเขียว 4 มาตรการเสริมดันราคา ปลดล็อกเกษตรกรตกหล่น 8 หมื่นรายได้สิทธิ์โครงการปี 2 และเห็นชอบยุทธ์ศาสตร์มันปี 64-67 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2564 ที่ผ่านมา ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสําปะหลัง (นบมส.) ครั้งที่1/2564 ผ่านระบบ Zoom ณ ห้อง 201 สภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 3 เหมือนกับปี 1 และ ปี 2 ยกเว้นระยะเวลาการรับสิทธิ์ของเกษตรกรที่จะครอบคลุมเกษตรกรอย่างทั่วถึงมากขึ้น
โดยหลักเกณฑ์ได้กำหนดราคาและปริมาณประกันรายได้ คือ มันสำปะหลัง เชื้อแป้ง 25% กิโลกรัม (กก.) ละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน ไม่ซ้ำแปลง ผู้มีสิทธิ์ได้รับการชดเชย ขึ้นทะเบียนเพาะปลูกมันสำปะหลังกับกรมส่งเสริมการเกษตร ที่มีวันเพาะปลูกตั้งแต่ 1 ต.ค.2563-31 มี.ค.2565 และแจ้งระยะเวลาเก็บเกี่ยวนับจากวันที่เพาะปลูกไม่น้อยกว่า 8 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือน ระยะเวลาชดเชยส่วนต่าง 1 ธ.ค.2564–1 พ.ย.2565 ระยะเวลาโครงการ 1 พ.ย.2564–31 พ.ค.2566 วงเงินงบประมาณ 6,811 ล้านบาท
ทั้งนี้ ยังได้เห็นชอบมาตรการคู่ขนาน 4 โครงการ ที่จะเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลัง และโครงการเพิ่มศักยภาพการแปรรูปมันสำปะหลัง
นอกจากนี้ ได้เห็นชอบการเข้าร่วมโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 ที่ตกหล่น ของเกษตรกรที่มีวันเพาะปลูกก่อน 1 เม.ย.2563 และเก็บเกี่ยวหลังวันที่ 1 ธ.ค.2563 จำนวน 8 หมื่นกว่าราย และเห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่เดิมสิ้นสุดโครงการวันที่ 30 ก.ย.2564 เป็น สิ้นสุดโครงการวันที่ 31 มี.ค.2565 เห็นชอบค่าขนส่งเพิ่มเติมภายใต้กรอบวงเงินค่าท่อนพันธุ์เดิมที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) จำนวน 24.8 ล้านบาท โดยใช้กรอบวงเงินเดิมที่เคยได้รับอนุมัติ
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมครั้งนี้ ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ปี 2564–2567 ถือว่าเป็นเรื่องระดับชาติ เพราะการทำเป็นยุทธศาสตร์นี้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยวิสัยทัศน์ คือ ไทยต้องครองความเป็นผู้นำด้านการค้าและการผลิตมันสำปะหลังคุณภาพดีอันดับ 1 ของโลกอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมาย ดังนี้ 1.มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 3% 2.ราคามันสำปะหลังภายในประเทศมีเสถียรภาพและเป็นธรรม และ 3.เกษตรกรเข้าถึงพันธุ์มันสำปะหลังต้านทานโรคใบด่างมันสำปะหลัง (CMD) ให้เชื้อแป้งสูงและมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ไม่ต่ำกว่า 5 ตันภายในปี 2567
ที่มา: Commerce News Agency
[ด่วน!!!] จีนประกาศขยายระยะเวลาการบังคับใช้ระเบียบ 248 เรื่องการขึ้นทะเบียนผู้ผลิตอาหารนำเข้าจากต่างประเทศไปอีกแปดเดือน
ตามที่สาธารณรัฐประชาชนจีนมีการประกาศ notification ใน WTO ภายใต้ GB/TBT/N/CHN1522 และ G/SPS/N/CHN/1191 และได้เผยแพร่กฎระเบียบว่าด้วยการขึ้นทะเบียนผู้ผลิตอาหารนำเข้าจากต่างประเทศ (Decree 248) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา โดยประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2565 นั้น
ล่าสุด จีนได้มีการประกาศในการประชุม WTO/SPS ครั้งที่ 80 เมื่อวันที่ 15 – 16 กรกฎาคม 2564 ว่า จีนจะเลื่อนระยะเวลาการบังคับใช้ (transition period) ของระเบียบ 248 ให้กับประเทศผู้ส่งออกทุกประเทศ (รวมไทย) ออกไปอีก 8 เดือน ซึ่งในการประชุมดังกล่าว หลายประเทศได้แสดงความกังวลและให้ข้อคิดเห็นทักท้วงต่อระเบียบดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
**********************************************************
สาระสำคัญของระเบียบ 248
► Decree 248 กฎระเบียบว่าด้วยการขึ้นทะเบียนผู้ผลิตอาหารนำเข้าจากต่างประเทศ (Decree 248) Regulations on the Registration and Administration of Overseas Producers of Imported Food
ระบุรายละเอียดการขึ้นทะเบียนผู้ผลิตอาหารจากต่างประเทศ (ครอบคลุม food manufacturers, processors, and storage facilities) ไม่รวมถึง food additives และ food-related products โดยตามระเบียบแบ่งกลุ่มการขึ้นทะเบียนโรงงานผลิตอาหารออกเป็น 2 กลุ่มหลัก
# 1 ขึ้นทะเบียนกับ Competent Authority ของประเทศผู้ส่งออก
ระบุชนิดอาหารแบ่งแยกออกเป็น 20 ประเภท (1) เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ (2) ผลิตภัณฑ์ไส้บรรจุไส้กรอก (sausage casing) (3) ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ (4) ผลิตภัณฑ์นม (5) รังนกและผลิตภัณฑ์จากรังนก (6) ผลิตภัณฑ์จากผึ้ง (7) ไข่และผลิตภัณฑ์จากไข่ (8) น้ำมันและไขมันสำหรับการบริโภค (9) เมล็ดพืชน้ำมัน (oilseeds) (10) ผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลีสำเร็จรูป (stuff wheat products) (11) เมล็ดธัญพืชสำหรับการบริโภค (12) ผลิตภัณฑ์เมล็ดธัญพืชบดและมอลต์เพื่อการอุตสาหกรรม (13) ผักสดและผักอบแห้ง (14) ถั่วอบแห้ง (15) เครื่องปรุงรส (16) ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืช (17) ผลไม้แห้ง (18) เมล็ดกาแฟและเมล็ดโกโก้ที่ยังไม่ผ่านการคั่ว และ (19) อาหารสำหรับวัตถุประสงค์พิเศษ (food for special dietary purposes) และ (20) อาหารเพื่อสุขภาพ
# 2 ผู้ผลิตอาหารที่ไม่ได้อยู่ใน 20 รายการดังกล่าว สามารถขึ้นทะเบียนกับ GACC ได้โดยตรง (หรือมีการดำเนินการผ่านตัวแทน)
ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถติดต่อ
หมายเลขโทรศัพท์ 02-561-2277 ต่อ 1319 หรือ Email : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
“เฉลิมชัย” สั่งปูพรมสำรวจ และเร่งทำลายพื้นที่ใบด่างมันสำปะหลัง
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการที่พบการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังซึ่งสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรในหลายพื้นที่ จึงได้สั่งการกรมส่งเสริมการเกษตร เร่งดำเนินการสำรวจพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง พร้อมกำชับให้ทำความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลังให้หมดไป โดยขณะนี้พบว่าในบางพื้นที่ยังมีเกษตรกรบางรายที่พบการระบาดโรคใบด่างมันสำปะหลังในแปลง แต่ไม่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ กรมส่งเสริมการเกษตรจึงต้องชี้แจงข้อมูลเน้นหนักถึงขั้นตอนการดำเนินงาน และประโยชน์ที่เกษตรกรและประเทศชาติจะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการ คือ ภาครัฐจะดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโรคใบด่างมันสำปะหลังด้วยการเข้าทำลายพื้นที่พบโรคใบด่างมันสำปะหลังและจ่ายค่าชดเชยการทำลายให้กับเกษตรกรหลังตรวจสอบผลการทำลายไปแล้ว 30 วัน การส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ท่อนพันธุ์สะอาดและทนทานต่อโรค โดยจะสนับสนุนท่อนพันธุ์ จำนวนไร่ละ 500 ลำ รวมทั้งมาตรการทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 สำหรับเกษตรกรเจ้าของแปลงที่พบโรคเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจต่อการเข้าร่วมโครงการต่อไป
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ผลการดำเนินการล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2564) จากการสำรวจพื้นที่ของสำนักงานเกษตรจังหวัด/อำเภอ พบพื้นที่ระบาด 187,508.81 ไร่ ใน 27 จังหวัด คือ จังหวัดกาญจนบุรี กาฬสินธุ์ ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ นครราชสีมา นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ มหาสารคาม มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ลพบุรี ศรีสะเกษ สระแก้ว สระบุรี สุพรรณบุรี สุรินทร์ อุทัยธานี อุดรธานี และอุตรดิตถ์ โดยมีเกษตรกรสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ แล้ว 6,174 ราย พื้นที่ 59,227.19 ไร่ ซึ่งในจำนวนนี้มีพื้นที่ที่ทำลายแล้ว 1,158.71 ไร่ (คิดเป็น ร้อยละ 0.62 ของพื้นที่ระบาด) และพื้นที่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการทำลาย 58,068.48 ไร่ (คิดเป็นร้อยละ 30.97 ของพื้นที่ระบาด)
ทั้งนี้ จากการสำรวจการระบาดโรคใบด่างมันสำปะหลังในจังหวัดสระแก้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2564) พบมีการระบาดโรคใบด่างมันสำปะหลังถึง 54,392.25 ไร่ แม้ว่าจะมีปริมาณการระบาดค่อนข้างสูง แต่เป็นจังหวัดที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือกับเกษตรกร ภายหลังจากการให้ข้อมูล วิธีดำเนินการ และรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการฯ รวมไปถึงความรู้เกี่ยวกับโรคใบด่างมันสำปะหลัง การป้องกันกำจัด มาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการใช้พันธุ์มันสำปะหลัง ทนทานโรค เกษตรกรให้ความสนใจและสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 50,391 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 92.64
นอกจากนี้สำนักงานเกษตรจังหวัด/อำเภอ ในพื้นที่เป้าหมายได้ลงพื้นที่สำรวจแปลงพันธุ์สะอาด ซึ่งเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ทนทานต่อโรคใบด่าง โดยแปลงพันธุ์สะอาดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมส่งเสริมการเกษตรนั้นจะต้องไม่พบการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง หรือห่างจากพื้นที่ที่พบการระบาดไม่น้อยกว่า 6 กิโลเมตร และต้องปลูกพันธุ์มันสำปะหลังพันธุ์ทนทาน ได้แก่ พันธุ์ระยอง 72 เกษตรศาสตร์ 50 ห้วยบง 60 และระยอง 90 และพันธุ์อื่น ๆ ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการใน การเข้าร่วมโครงการได้ มีเกษตรกรสนใจสมัครเข้าร่วมแปลงพันธุ์สะอาดแล้วรวม พื้นที่ 2,331.46 ไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2564) และคาดว่าจะมีเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ทนทานโรคใบด่างสนใจเข้าร่วมโครงการเพื่อร่วมกันผลิตท่อนพันธุ์ทนทานโรคใบด่างได้เพียงพอกับความต้องการ
หากเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังสนใจเข้าร่วมโครงการ หรือมีข้อสอบถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ กองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ยชุมชน โทร02-955-1626 หรือ สำนักงานเกษตรอำเภอ/จังหวัดใกล้บ้านท่าน อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติม
ที่มา : ศูนย์ข่าวกรมส่งเสริมการเกษตร
คต. เผย 7 มาตรการช่วงโควิด เดินหน้าอำนวยความสะดวก มั่นใจการค้าไทยไม่สะดุด
กรมการค้าต่างประเทศดัน 7 มาตรการเพื่อให้บริการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถนำเข้า-ส่งออกสินค้าได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และไร้อุปสรรค
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้กรมฯ เร่งเดินหน้าอำนวยความสะดวกทางการค้าและขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยนำรายได้เข้าประเทศในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กรมฯ จึงได้เดินหน้า 7 มาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบให้แก่ผู้ประกอบการและปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลในการลดการเดินทางที่ไม่จำเป็นและการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ดังนี้
1. ขยายเวลาวันหมดอายุสำหรับบัตรประจำตัวผู้ส่งออก-นำเข้าสินค้า และบัตรประจำตัวผู้รับมอบอำนาจที่จะหมดอายุในช่วงระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2564 ออกไปอีก 5 เดือนโดยอัตโนมัติ ในส่วนของกรณีจำเป็นต้องจัดทำบัตรประจำตัวผู้ส่งออก-นำเข้าสินค้า และบัตรประจำตัวผู้รับมอบอำนาจใหม่ ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอพร้อมส่งเอกสารทางไปรษณีย์ และกรมฯ จะจัดส่งบัตรให้ผู้ประกอบการทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังกรมฯ
2. อนุญาตให้ผู้ประกอบการส่งคำขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออก-นำเข้าสินค้าที่มีมาตรการควบคุมการส่งออก-นำเข้าผ่านทางไปรษณีย์ พร้อมสามารถตรวจสอบผลการพิจารณาและเลขทะเบียนผ่านระบบลงทะเบียนผู้ประกอบการออนไลน์ของกรมฯ (Registration Database) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
3. เชิญชวนให้ผู้ประกอบการเลือกใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (e-Form D) หรือการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (ASEAN Wide Self Certification: AWSC) สำหรับการส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียน แทนการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบกระดาษ
4. ผลักดันการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยระบบการลงลายมือชื่อและตราประทับอิเล็กทรอนิกส์ (ESS) ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากเป็นการลดขั้นตอน ลดระยเวลา และลดการสัมผัสกระดาษ
5. เพิ่มการให้บริการออกหนังสือสำคัญการส่งออก-นำเข้าสินค้าแบบไร้เอกสาร (Paperless) โดยการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมศุลกากรผ่านระบบ National Single Window (NSW) ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่ต้องนำเอกสารแบบกระดาษไปประกอบพิธีการทางศุลกากร
6. อนุญาตให้ผู้ประกอบการใช้แบบฟอร์มรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองตามที่กรมฯ กำหนดมายื่นประกอบการขอรับหนังสือรับรองแสดงการได้สิทธิชำระภาษีตามพันธกรณีตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ในช่วงระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2564 กรณีที่ผู้ประกอบการไม่สามารถนำ C/O จากประเทศต้นทางมาแสดงได้เนื่องจากประเทศต้นทาง Lockdown
7. รับชำระเงินผ่านการสแกน QR Code หรือ การโอนเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e – Payment)
นายกีรติฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการทั้งหมดจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยยังคงสามารถส่งออก-นำเข้าสินค้าได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และไร้อุปสรรค นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 โดยได้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ของกรมการค้าต่างประเทศได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งจัดทำระบบ Timeline a Day Report เพื่อให้ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกรมฯ เข้าไปกรอกข้อมูลการเดินทางและกิจกรรมที่ได้ดำเนินการในแต่ละวัน เช่น สถานที่ที่ไปทำกิจกรรม ช่วงเวลา และรูปแบบการเดินทาง เป็นต้น เพื่อให้กรมฯ สามารถเฝ้าติดตามได้กรณีหากผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ของกรมฯ ได้ไป สัมผัสผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือสนับสนุนที่ดีอย่างยิ่งในการช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการว่า กรมฯ ได้เฝ้าระวังและห่วงใย รวมถึงคำนึงความปลอดภัยอย่างเต็มที่ต่อการให้บริการที่เป็นเลิศแก่ผู้ประกอบการ
ผู้ประกอบการสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักบริการ การค้าต่างประเทศ โทร 0 2547 4830 และ 0 2547 4838 (ประเด็นหนังสือสำคัญการส่งออก-นำเข้าสินค้า การใช้ e-Form D และระบบ ESS) และโทร 0 2547 4829 และ 0 2547 4837 (การทำบัตรประจำตัวผู้ส่งออก-นำเข้าสินค้า และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออก-นำเข้าสินค้า) หรือ เว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th และสายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ 1385
ที่มา : กรมการค้าต่างประเทศ